Das Leben ist einer Reise.

Das Leben ist einer Reise.
สวัสดี เราชื่อ มะกรูด

เราชอบเที่ยว ชอบถ่ายรูป ชอบคุยกับคนแปลกหน้า และชอบคนหน้าแปลก ชอบหัวเราะใส่หน้าคน ชอบอะไรก็ตามที่มันทำให้ยิ้มได้ และที่สำคัญ....เราชอบหลงทางงงงงงง !!!!

ท่านผู้อ่านทั้งหลายยยย ในเมื่อท่านพลัดหลงเข้ามาในบล็อกของผมแล้วก็อย่าจากไปมือเปล่าโดยไม่อ่านบันทึกเรื่องราวการเดินทางมันส์ๆสิ ถือซะว่าหลงทางมาเหนื่อยๆนั่งพักอ่านอะไรเพลินๆไปก็ได้นะ ไม่แน่ว่าบันทึกเหล่านี้ของผมอาจจะเป็นชนวนจุดไฟให้กับเท้าของคุณได้ออกเดินทางอีกครั้งนึงก็ได้

"การหลงทางไม่ใช่ความผิดพลาด แต่เป็นการเริ่มต้นสู้การเดินทางบทใหม่" นะจ๊ะ เพราะฉะนั้นแล้ว นั่งลง ตั้งสติ สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพร้อมผจญภัยไปกับผมได้เลยย !

Wednesday, February 24, 2016

Lost & Found...North Kyushu [Day 4-6]


ติดตามตอนที่ 1 ได้ที่ลิ้งค์นี้เลยครับ >>>>  Lost & Found...North Kyushu [Day 1-3] 

Day 4:

หลังจากที่ทรมานกับพิษไข้ นอนหลับประหนึ่งหมีจำศีล ผมก็ตื่นขึ้นมาพร้อมกับร่างกายที่พร้อมจะเที่ยวอีกครั้ง ไม่รู้เอาแรงมาจากไหน เหมือนเรื่องเมื่อคืนคือฝันร้ายยังไงอย่างงั้น.....

ในเมื่อ Beppu ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองแห่งออนเซน....เป้าหมายของเราในวันนี้ก็คงไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากการตามล่าเส้นทางน้ำพุร้อนของที่นี่กัน

เมืองนี้มี landmark ที่ดังที่สุดในหมู่ออนเซนด้วยกัน ชื่อนั้นคือ จิโกกุ (Jigoku) หรือที่รู้จักกันในนาม "บ่อนรก" นั่นแหละ ซึ่งที่นี่มีด้วยกันถึง 8 บ่อเลยทีเดียวเชียว

แต่บังเอิ๊ญบังเอิญว่าเพื่อนชาวญี่ปุ่นของผมได้แนะนำออนเซนแห่งนึงซึ่งอยู่ที่ Beppu เหมือนกัน ตอนนี้กำลังเป็นที่เลื่องลือในหมู่นักท่องเที่ยวอย่างมาก ด้วยความแปลก และเป็นออนเซนที่ไม่เหมือนใคร ชื่อของมันคือ Sunaburo หรือที่รู้จักกันดีว่า ออนเซนทรายดำ....

เป้าหมายแรกของเราในวันนี้เลยขอไปเริ่มที่ออนเซนทรายดำก่อน แล้วค่อยไปตะลุยบ่อนรกทั้ง 8 แห่งทีหลัง ด้วยความโชคดีปนโชคร้ายเมื่อคืน ที่เราเจอที่พักแบบฟ้าประทานมาให้จนวินาทีสุดท้าย เจ้าของที่พักยังโคตรใจดี ให้เรายืมจักรยานไปปั่นทั้งวันเพื่อเที่ยวรอบเมืองอีกด้วย คือรู้สึกแย่ที่ป่วยหนักมากๆนะ แต่ตอนนี้รู้สึกโชคดีอย่างบอกไม่ถูกเลย


แล้วเรื่องบังเอิ๊ญญญบังเอิญก็มีอีก วันนั้นดันตรงกับวันที่เมือง Beppu จัด Beppu Yukemuri Health Marathon 2015 ด้วย คนที่มาวิ่งมีตั้งแต่รุ่นเล็กไปจนถึงรุ่นดึก แล้วผมเลยถือโอกาสถ่ายบรรยากาศไปด้วยในตัว ก็มีพี่คนนี้หันมาทางกล้องแล้วชี้นิ้วทำท่าว่า ถ่ายผมไม๊ ถ่ายผมสิๆ เลยจัดให้ 1 ดอก

ก่อนหน้านั้นพวกผมได้แวะทานอาหารกันก่อน ตอนแรกว่าจะลองหาร้านอาหารที่ดูท้องถิ่นหน่อยๆ แต่สายตาก็ดันไปเตะเข้ากับร้าน Hotto Motto จนนิ้วแทบส้น ไอเราก็เห็นร้านนี้มาซักพักละ ไม่เคยได้ลองซักที แถมในร้านเป็นระบบซื้ออาหารโดยใช้เครื่องอัตโนมัติซะด้วย เอาวะ ลองซะหน่อยไม่เสียหาย





พอเลือกเมนูกันเรียบร้อย เราจะได้บัตรหน้าตาแบบนี้ออกมา ที่เหลือคือรอให้พนักงานมาเรียกเบอร์ของเราให้ไปรับอาหาร แต่ปัญหาหลักๆเพียงหนังเดียวเลยคือ........นางเรียกเบอร์เป็นภาษาญี่ปุ่นนน !! 555555555555

ประหนึ่งมีหุ่นกระป๋อง 2 ตัวนั่งอยู่ในร้าน พวกเรานั่งนิ่ง จนผ่านไปซักพักเริ่มระแวง "นางเรียกไปยังวะ??" จนต้องเอาใบให้นางแล้วทำมือว่า ของพวกชั้นเบอร์นี้นะ เรียกด้วยๆ นางก็พยักหน้าเข้าใจ



ผมสั่งข้าวหน้าไก่ราดด้วยไข่ (เรียกอะไรไม่รู้ ลืม) ซึ่งถือว่าเด็ดดวงมากกกกก รสชาติไม่แย่เลยย อร่อยมาก ถูกด้วย ใครที่ไม่รู้จะกินอะไร แนะนำ Hotto Motto นะครับ มีอยู่หลายสาขาประหนึ่ง 7-11 เลย



เราแบกอาหารมากินที่ร้านออนเซน และนี่คือป้ายหน้าร้านครับ ค่อนข้างหายากนิดนึง และอยู่ห่างจาก Beppu Tower ไกลพอสมควร แนะนำว่าให้ถามทางคนญี่ปุ่นแถวนั้นเลย รู้จักทุกคน



ที่นั่นจะมีบ่อออนเซนเท้าให้นั่งฟรีด้วยครับ

และแล้วก็ถึงคิวของเรา ผมไม่ได้ถ่ายภาพตอนที่ไปนอนอาบทรายดำไว้ (กลัวกล้องเลอะ) เลยขออนุญาตถ่ายภาพคนที่มาอาบทรายดำระหว่างที่รอให้ชมกันครับ



ที่คุณเห็นจะมีพนักงานคอยทำหน้าที่ขุดหลุมทรายให้คุณลงไปนอนแล้วก็ตักทรายมาฝังคุณ ป้าๆพนักงานเหล่านี้อารมณ์ดีมากๆเลยครับ ยิ่งพอรู้ว่าเราเป็นชาวต่างชาติยิ่งบริการดีเข้าไปใหญ่ นางถามว่าพวกเรามาจากไหน ผมบอกมาจากประเทศไทย นางก็ทำท่ายกมือไหว้สวัสดีให้เราด้วยนะ น่ารักมากๆ

เราจะมีเวลานอนแช่ทรายอยู่ประมาณ 10-15 นาทีครับ แต่ก่อนที่จะได้แช่ ป้าๆจะเปิดน้ำร้อนให้ท่วมบ่อแล้วปล่อยให้ทรายมันดูดน้ำจนแห้ง ทำให้ระหว่างที่โดนหมักอยู่นั้นค่อนข้างร้อนเหมือนได้แช่น้ำพุร้อนจริงๆ เป็น 15 นาทีที่จะเรียกว่าสบายก็ไม่เชิง เพราะมันขยับตัวไปไหนไม่ได้เลยหายใจแรงๆก็ไม่กล้า กลัวทรายแตก แต่หลังจาก 15 นาทีผ่านไปแล้วลุกออกมาจากกองทรายเท่านั้นแหละ........

สบายชิ(*&$FV^$$# เลยว้อยยยยยยยยย!!!! แมร่@#$%^&* โคตรเป็นความรู้สึกที่โคตรรรฟินน เหงื่อเรานี่ไหลท่วมตัว แล้วยิ่งพอมีลมมาปะทะกับร่างกายยิ่ง &%$$&**%% ฟินนนนนนนน !!!! ป้าบอกว่าทรายนี้ช่วยบรรเทาอาการปวดข้อปวดตัวได้ดี และมันก็ดีจริงๆ อาการปวดข้อเท้าผมหายไปเลย รู้สึกเหมือนได้เติมพลัง พร้อมจะใส่กางเกงในสีแดง ผูกผ้าคลุมแดงแล้วบินออกจากตู้โทรศัพท์เลยหล่ะ สมควรค่าแก่การมาลองครับ !!! ราคาถือว่าไม่แพงมากด้วย แนะนำๆๆๆๆๆเลยยย


เอาหล่ะ เติมพลังกันเต็มที่ละ ได้เวลาไปตามล่าบ่อนรกทั้ง 8 กัน จาก Sunaburo ก็ปั่นจักรยานขึ้นไปอีกซักพักฮะ (ใครที่ปั่นไม่คล่อง แนะนำอย่าลอง) ทางจะค่อนข้างชัน เพราะเส้นทางทัวร์บ่อนรกจะอยู่บนเขาทั้งหมด


อย่างที่บอกครับ ว่า Beppu คือเมืองแห่งออนเซนจริงๆ ควันที่เห็นพุ่งออกมาจากปล่องนั่นไม่ใช่มีคนทำกับข้าวหรืออะไรนะ แต่มันคือควันจากน้ำพุร้อนที่ขึ้นมาทั่วทั้งเมืองเลย !!!!!! 


เราสามารถซื้อตั๋วแบบครบทั้ง 8 บ่อได้เลย ราคาถูกกว่าซื้อทีละบ่อๆ สามารถซื้อได้ที่ทางเข้าเลยฮะ

บ่อนรกทั้ง 8 จะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่แตกต่างกัน เสน่ห์ของแต่ละที่ก็แปลกตาอยู่เหมือนกัน แต่เสียดายที่พวกผมไปได้แค่ทางฝั่ง Kannawa ซึ่งมี 6 บ่อ อีก 2 บ่อที่อยู่ทางฝั่ง Shibaseki เราหาไม่เจอ และขี้เกียจหาด้วย กลัวว่าจะเดินทางต่อไม่ทันรอบรถไฟ

6 บ่อแรกที่เราไปมันจะอยู่ใกล้ๆกันครับ แต่อีก 2 ที่จะอยู่ห่างออกไปอีกซักนิด ใครที่มีโอกาสไปก็หาให้ครบหล่ะ ตอนนี้ผมเก็บภาพมาฝากแค่ 6 ที่ก่อนละกัน ไปดูกันเลย

บ่อที่ 1: Shiraike Jigoku (White pond hell)



บ่อนี้ดูธรรมที่สุดเมื่อเทียบกับบ่ออื่นๆครับ แต่น้ำพุที่พุ่งออกมาก็ดูตื่นเต้นดี


แต่ติดๆกับทางออกบ่อนี้ จะมีพุดดิ้งสุดน่ารักอันนี้ขายอยู่ เห็นเขาบอกว่าใครที่มาทัวร์บ่อนรกนี้ต้องได้ลิ้มลองรสชาติเจ้าพุดดิ้งนี้ด้วยถึงจะฟิน.......รสชาติก็ไม่แย่ครับ

บ่อที่ 2: Oniyama Jigoku (Crocodile hell)



บ่อนี้น้ำพุระเบิดออกมาจากบ่อมันส์มาก !! รุนแรงเหมือนจะมีไคจูโผล่ออกมาตลอดเวลา แถมที่บ่อนี้ยังเลี้ยงจรเข้ไว้ให้ชมกันด้วยฮะ และมีข้อมูลว่า ที่นี่เคยเลี้ยงจรเข้ที่ลำตัวยาวเกือบ 5 เมตรเลย !!!! มีซากให้ดูด้วย !!!!



บ่อที่ 3: Kamado Jigoku (Cooking pot hell)

บ่อนี้จะมีเอกลักษณ์ที่รูปปั้นยักษ์กับทานูกิครับ หาไม่ยากเลย




ลักษณะบ่อที่นี่คนญี่ปุ่นมองว่าเหมือนเตาหลอมร้อนๆฮะ คราบสีเหลืองริมขอบนั่นคือกัมมะถันครับ




น้ำพุพุ่งอย่างไม่ไว้หน้าใครที่ไหนเลยฮะ คำเตือนคืออย่าได้ริลองเอามือไปแตะน้ำพวกนี้นะครับ มันร้อนมากกกกกก ไม่ได้มีไว้อาบนะเหวยยยย


แต่ที่แปลกเข้าไปอีกสำหรับที่นี่เห็นจะเป็นไอศกรีม 2 อันนี้ฮะ.......รสพริกป่น กับรสพริกไทดำ !!!! ใครสั่งใครสอนให้เอาเครื่องปรุง 2 อันนี้มาทำไอศกรีม !!!!!!!!!!!


ที่บ่อ Kamado ยังมีบ่อน้ำพุร้อนสีแดงอีกด้วยครับ แต่อย่าสับสนกับบ่อ Chinoike jigoku (Bloody pond hell) ของทางฝั่ง Shibaseki นะครับ อันนั้นคือเจ้าพ่อของบ่อน้ำพุเลือดของจริง

บ่อที่ 4: Yama jigoku (Mountain hell)

บ่อนี้ก็ mountain สมชื่อครับ อย่างกับมาเดินป่าเดินเขา มีต้นไม้ ต้นตะบองเพชรให้ดูเต็ม แถมมีสวนสัตว์ขนาดย่อมข้างในอีกนะ




แต่พระเอกหลักของบ่อนี้เห็นจะเป็นเจ้านี่ครับ ฮิปโปตัวเบอเริ่มหนึ่งเดียว ซึ่งความน่ารักของมันอยู่ที่ความเชื่องสุดๆๆๆๆๆนี่แหละฮะ นางเล่นกับคนดูแลอย่างกับสุนัข บอกให้ทำอะไรก็ทำ แถมคนดูแลยังรู้ตอนมันจะขี้ด้วยนะ พอมันขึ้นมาจากน้ำ คนดูแลรีบบอกให้ผู้ชมถอยห่าง พวกเราก็งงว่าเกิดอะไรขึ้น ซักพักมันก็ใช้หางปั่นเป็นพัดลมพร้อมกับมีขี้ออกมากระเด็นไปทั่วทุกทิศทาง (ใครกินข้าวอยู่ขอโทษด้วย) คือตอนนั้นตลกมาก คือเพิ่งเคยเห็นฮิปโปขี้ต่อหน้าต่อตาแบบเอาไปประกวด Thailand Got Talent ได้



กลายเป็นว่า บ่อน้ำพุร้อนที่นี่ถูกแย่งซีนโดยเจ้าพวกสัตว์ทั้งหลายไปโดยสมบูรณ์แบบเลยหล่ะฮะ 5555555

บ่อที่ 5: Umi jigoku (Sea hell)

ผมว่าที่นี่ดูใหญ่ที่สุดในบรรดาบ่อนรกทั้งหมดนะ แถมมีอะไรน่าสนใจเยอะด้วย


ตรงทางเข้าจะมีบ่อน้ำเล็กๆและมีเจ้ากัปปะตัวน้อยลอยอยู่ในชาม คนที่นี่เชื่อว่าให้ขอพรแล้วถ้าโยนเหรียญลงที่ชามได้ พรนั้นจะเป็นจริง ซึ่งมันไม่ง่ายครับ สังเกตุได้จากเหรียญในบ่อ 555555555

ที่นี่ยังมีบ่อบัวขนาดใหญ่ ใหญ่ทั้งบ่อ ใหญ่ทั้งใบบัวเลยละฮะ โดยในทุกๆปีจะมีกิจกรรมให้เด็กเล็กสามารถเข้าไปยืนถ่ายรูปบนใบบัวได้เลย !!! มันใหญ่แค่ไหนคิดเอาเองงงงงง




ที่นี่ยังมีศาลเจ้าให้ทำพิธีทางศาสนาด้วยครับ น้ำที่ไหลออกมาจากท่อนี่เป็นน้ำธรรมชาติ เขาให้ตักเอามาล้างมือก่อนเข้าวัด หรือใครใคร่ดื่มก็ดื่มได้ไม่มีปัญหา



นอกจากนี้ยังมีโซนเล็กๆสำหรับคนที่อยากแช่ออนเซนเท้าด้วย คนที่นี่หายใจเข้าออกเป็นออนเซนจริงๆครับ



ส่วนทีเด็ดอีกอย่างที่ควรค่าแก่การลองคือเหล่าอาหารที่ทำจากการใช้ไอน้ำพุร้อนนี่แหละฮะ ผมไปเจอคุณลุงคนนี้ทำซาลาเปาโดยใช้น้ำพุร้อนอยู่ตรงทางออกพอดีเลยจัดมา อร่อยใช้ได้ๆ

บ่อที่ 6: Oniishibozu jigoku (Priest hell)

อันนี้เป็นบ่อที่แปลกที่สุดในบรรดาทั้งหมดเลยฮะ เป็นบ่อน้ำพุร้อนที่ผุดขึ้นมาในโคลนขาว



ทัวร์จนครบ 6 บ่อเรียบร้อยก็ถึงเวลากลับที่พักไปคืนจักรยานแล้วก็เดินทางต่อ



เราลัดเลาะมาตามตรอกซอกซอยซึ่งบังเอิญไปป๊ะกับมุมนี้เข้าให้ ไอน้ำจากน้ำพุร้อนที่ลอยมาตามท่อระบายน้ำตลอดเส้นทาง เห็นแล้วโคตรมีเสน่ห์เลยละครับ



หอนี้คือ landmark อีกที่นึงของเมือง Beppu ครับ มันคือ Beppu tower ตอนกลางคืนเราจะเห็นมันเปิดไฟสวยๆให้ถ่ายรูปได้ด้วย


อันนี้ชื่อที่พักที่เราไปพักฮะ Guesthouse Danran ที่พักไม่แพงแถมเจ้าของใจดีมากๆด้วย พูดอังกฤษพอได้ ดูแลอย่างดี อยู่ใกล้ๆกับ Khaosan hostel หรือโรงแรมข้าวสาร ที่คนไทยมักจะเรียกกัน



และแน่นอนว่านี่คือรูปปั้นที่สำคัญที่สุดของชาวเมือง Beppu เลยฮะ

คุณปู่ Kumahachi Aburaya หรือที่เรียกกันว่า Shiny Uncle เป็นบุคคลที่ทำให้เมือง Beppu มีชื่อเสียง เขาตั้งโรงแรมแห่งแรกที่เมืองนี้และทำให้ Beppu กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่โด่งดังที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่นเลย



เราตั้งเป้าว่าจะไปหาที่พักกันที่ Yufuin ก่อนแล้วเที่ยวในเมืองซักพักแล้วค่อยวางแผนกันต่อว่าจะไปไหน

สำหรับขบวนรถไฟที่เราจะนั่งไป Yufuin วันนี้เราใช้บริการของรถไฟขบวน Isaburo สีแดงฉานเพียงหนึ่งเดียวของ JR Kyushu

แต่เรื่องราวมันไม่ได้จบแค่ถึงเมืองหาที่พักแล้วเที่ยวหน่ะสิครับ พวกเรามาถึง Yufuin ประมาณ 6 โมงเย็น เกือบๆทุ่ม ชาวเมืองเริ่มเข้านอนกันละ (ที่ญี่ปุ่นจะนอนเร็วกันมากกก ถ้าไม่ใช่ในแหล่งเที่ยวกลางคืน 2 ทุ่มก็แทบไม่มีร้านไหนเปิด) ปัญหาเลยเกิดครับ......เราหาที่พักกันไม่ได้เลย !!!!! เราเดินเข้าโรงแรมแถวชานชาลารถไฟก็เต็มหมด เราเลยเดินกันแทบจะทั่วเมือง แต่ระหว่างทางเราดันได้ยินเสียงคนพูดกันเป็นภาษาไทยครับ !! ประหนึ่งได้ยินเสียงร้องจากสวรรค์ !!! ผมรีบหันไปมองแล้วเจอพี่กลุ่มนึงกำลังนั่งคุยกันอยู่ ผมเดินเข้าไปหาแล้วพูดคุยกันเล็กน้อย พร้อมสอบถามเรื่องที่พักด้วย พวกนางเลยบอกว่าตอนนี้ที่พักน่าจะเกือบเต็มหมดแล้ว เพราะพวกพี่เค้าก็หามาทั้งวันเหมือนกัน เพิ่งจะได้เมื่อตอนเย็นๆ แต่นางบอกให้รอเพื่อนพี่อีกคนมาก่อนเดี๋ยวจะช่วยเหลือให้...ตอนนั้นคือดีใจมากๆ ตอนแรกพวกเราจะเดินหากันเองแล้ว เกรงใจพวกพี่เค้า แต่พี่เค้าพยายามช่วยเหลือสุดๆ แถมทั้งหมดหน้าตาดีด้วย ทุกคนดูช่ำชองเมืองนี้มาก แต่เราก็ไม่ได้เอ๊ะใจอะไรมากนัก จนกระทั่งเพื่อนพี่เค้ามาถึง......


"เมิง !!!! นั่นใช่พี่แบงค์ว่า Clash ป่าววะ !? เมิงงงงงง !!! เชี่ยยยยยย !!!"

ผมอุทานกับเพื่อนเบาๆแต่รุนแรง หัวใจผมเต้นแรงในระดับ 79 ริกเตอร์

"เมิง กุอยากถ่ายรูป !!"

แต่ผมต้องอดใจทำเนียนว่าไม่ตื่นเต้นก่อน เด๋วเสียหน้า 5555555555555

พี่แบงค์เห็นพวกผมในสภาพที่ดูหลงทางไร้ทางเยียวยา "ถ้ากุปล่อยอิ 2 ตัวนี่ไว้กุว่าพวกมันนอนริมถนนแน่ๆ" พี่แบงค์ต้องคิดอย่างนี้ชัวร์ๆ นางพยายามช่วยผมอย่างมาก บอกว่าให้เดินตามพี่เค้าไป มีโรงแรมที่พี่เพิ่งจะยกเลิกการจองไปเมื่อกี้ ราคาไม่แพงด้วย ผมก็ดีใจสิครับ ได้แต่ขอบคุณพี่เค้ายกใหญ่ และตอนพวกผมจะลาจากกลุ่มพี่พวกนั้น ผมเลยเนียนถาม พี่ใช่พี่แบงค์ปะฮะ ผมขอถ่ายรูปด้วยได้ไม๊ นางก็โอบไหล่ผมเลยฮะ บอกเลยยยยย ว่ารู้สึกโชคดีโคตรรรรรรที่ตัดสินใจมาหาที่พักที่นี่ เสียดายรูปไม่ชัด ไม่กล้าขอถ่ายอีก 55555555555

ของดีเมือง Yufuin คืออะไรไม่รู้แหละ แต่ที่แน่ๆ ใครอยากเจอพี่แบงค์วง Clash แนะนำให้มาที่นี่ครับ (มันใช่ซะที่ไหนละว้อยยย !!)

พวกเราเดินตามหาโรงแรมที่พี่แบงค์บอก เราเดินเข้าไปหาปรากฎว่า ห้องพักว่างจริงๆด้วย !! แต่ปัญหาที่ตามมาอีกอันคือ.......ราคามันไม่ได้ถูกอย่างที่บอกเลยยยย เราลืมนึกไปว่า มันอาจจะถูกสำหรับพี่แบงค์ แต่มันไม่ใช่สำหรับเรา 555555555555 ตอนนั้นเราเลยตัดสินใจตามหาที่พักกันต่อ...

เราเดินทั่วเมืองจริงๆครับ ทุกซอกทุกมุม แต่หาที่พักไม่ได้เลย มองดูนาฬิกาก็ปาเข้าไปจะ 2 ทุ่มแล้ว เราเลยตัดสินใจกันวินาทีสุดท้าย เดินไปแถวเซเว่นแล้วไปใช้ Wi-fi เพื่อหาโรงแรมแถวนี้กัน ! (ในญี่ปุ่นจะมีจุดให้บริการ Wi-fi สำหรับนักท่องเที่ยวนะครับ โดยเฉพาะในเซเว่นจะมีทุกที่ เขาจะให้ใช้บริการได้วันละ 1 ชั่วโมงถ้าจำไม่ผิดนะ ผมถือว่าเป็นเรื่องที่ดีต่อนักท่องเที่ยวที่สุด เพราะมันช่วยเหลือเราในเวลาแบบนี้ได้ดีเลยหล่ะฮะ)

และไม่รู้ว่าจะเรียกโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่.......เราเจอโรงแรมครับ !!.....แต่มันไม่ได้อยู่ใน Yufuin ! มันอยู่ในเมือง Oita ซึ่งห่างออกไปอีกประมาณครึ่งชั่วโมง พวกผมคิดกันนานมาก เราดูเวลารถไฟของวันพรุ่งนี้ประกอบ และเปลี่ยนแผนกันใหม่จากที่ตอนแรกจะพักที่นี่แล้วตอนเช้านั่งรถไฟ Yufuin no Mori ในตำนาน กลายเป็นว่าเราจะไปค้างที่ Oita คืนนึง แล้วรุ่งเช้าเราจะกลับมาที่ Yufuin แล้วนั่ง Yufuin no Mori ต่อ......ก่อนออกจากสถานีเราเลยไปจองที่นั่ง Yufuin no Mori โดยใช้ JR Kyushu Pass ครับ



เรามาถึง Oita กันละ เมืองนี้ยังครึกครื้นกันอยู่ครับ สบายใจ น่าจะหาโรงแรมไม่ยาก เราวิ่งเข้าหา Wi-fi ก่อนเลย เพื่อหาโรงแรม แต่เรื่องบังเอิ๊ญญญบังเอิญสุดๆก็กลับมาหาพวกเราอีกครั้งจนได้ฮะ

พี่ที่พวกเราไปเจอบน Mt. Aso ทักมาหาว่าได้ที่พักกันหรือยัง พวกเราเลยบอกว่าได้ที่พักที่ Oita โรงแรม Ariston Hotel....นางเลยบอกว่าพวกนางก็ทักกันที่นั่นเหมือนกัน !!!! บร๊ะ !!! อะไรจะบังเอิญขนาดนี้

โรงแรมดูดีมากครับ ! จนพวกเราสงสัยว่าจะใช่ที่นี่จริงๆหรอ เพราะราคาที่เราจองได้มันถูกมากๆ ถูกเกินที่จะเป็นโรงแรมระดับนี้ แต่มันก็ใช่จริงๆ พวกเราโคตรโชคดีที่บังเอิญไปเจอในวินาทีสุดท้าย

หลังจากเก็บของเข้าที่พักเรียบร้อย เราก็ออกมาเดินเล่นในเมืองหาของกินพลางๆ แล้วก็ไปจัด ทาโกยากิ จากร้านเล็กๆข้างทางเหมือนที่เห็นในหนังญี่ปุ่น.....ราคาถูก แต่อร่อยมากกกก จัดเต็มสุดๆ


Day 5:

เราตื่นกันประมาณ 9 โมง รีบอาบน้ำแต่งตัวเพื่อเดินทางกลับไปยัง Yufuin ให้ทันรอบรถ Yufuin no Mori ตอนใกล้เที่ยง




ระหว่างทางก็เจอเด็กน้อยคนนี้นั่งอยุ่ข้างหน้าผม นางน่ารักมากกกกกกก ชอบจ้องมาที่ผม สงสัยเห็นว่าหล่อมั้ง ผมเลยให้นางมาเป็นแบบซะเลย น่าร๊ากกกกกกก



มาถึง Yufuin แล้ว ระหว่างที่รอนั่งรถไฟในตำนานเราเลยเดินเล่นในเมือง ชิมบรรยากาศไปพลางๆ

ที่เมืองนี้จะมีชื่อเสียงในด้านออนเซนเหมือนกันครับ แต่ผมว่าถ้าเทียบกับ Beppu แล้ว ที่เราไปชมกันมาดูมีภาษีเยอะกว่ามากเลย

อาจเป็นเพราะว่าเรายังไม่ได้สัมผัสบรรยากาศจริงๆของเมืองนี้เลยทำให้ผมรู้สึกว่า ที่นี่ยังไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจนัก เราแวะกินขนมแล้วก็กลับไปรอที่ชานชาลา......และแล้วรถไฟที่เรารอคอยก็มาถึง....



Yufuin no Mori แปลกันอย่างสวยงามว่า The Forest of Yufuin " ป่าแห่ง Yufuin " เป็นขบวนรถไฟ limited express ของบริษัท Kyushu Railway company ที่เรียกได้ว่ามีชื่อเสียงที่สุดในบรรดารถไฟท่องเที่ยวของญี่ปุ่นเลยก็คงไม่ผิดอะไร ซึ่งจะมีเส้นทางวิ่งจาก Hakata - Yufuin - Beppu มีจำนวนรอบต่อวันที่จำกัด หรือบางวันอาจไม่เปิดเลยก็ได้ (ควรเช็ครอบจากสถานีรถไฟให้ดี) นอกจากนี้ขบวนรถนี้ถือเป็นขบวนพิเศษที่ต้องทำการจองที่นั่งทุกครั้งถึงจะเข้าไปได้ ถึงแม้บัตร JR Pass จะรวมรถขบวนนี้เข้าไปแล้วแต่ก็ต้องไปทำการสำรองที่นั่งไว้ด้วย

ด้วยรูปร่างที่เป็นเอกลักษณ์ ทุกขบวนมีสีเขียวล้วน ดูมีเสน่มากๆ แต่ภายในกลับดูอลังการอย่างกับอยู่ในโรงแรมหรูระดับ 5 ดาวยังไงหยั่งงั้นเลยยยย !!!






ภายในของ Yufuin no Mori จะถูกประดับประดาด้วยไม้และการตกแต่งที่ดูไฮโซไมโล 5 ช้อนมากๆ คือมันได้อารมณ์ความหรูแต่หรูแบบเรียบง่ายและมีเสน่ห์สุดๆ สมกับที่ได้ชื่อว่าสุดยอดแห่งรถไฟญี่ปุ่นทั้งปวง





ถึงแม้เราจะสำรองที่นั่งกันไว้ แต่ตูดผมไม่ติดอยู่กับที่เลยฮะ ในรถไฟจะมีจุดให้ชมทัศนียภาพของเส้นทางที่ผ่านด้วย ผมเลยเดินเล่นรอบๆพร้อมกับยืนกินบรรยากาศไปตลอดจนถึง Hakata เลย

เรามาถึง Hakata กันประมาณบ่าย 2 โมง เราเลยแวะหาอะไรทานอาหารกลางวันกันเล็กน้อย และวางแผนว่าเราจะไปที่ไหนกันต่อ

จากเวลาที่เรามีอยู่ตอนนี้และวันนี้เป็นวันสุดท้ายที่บัตร JR Pass จะหมด แถมตอนกลางคืนเราต้องกลับไปยัง Fukuoka เพื่อไปหาเพื่อนผมด้วย ด้วยเวลาที่จำกัดพวกเราจึงเลือกไปที่ Nagasaki ครับ เพราะได้ยินมาว่า วิวตอนกลางคืนของเมืองนี้เพิ่งจะติดอันดับ 1 ใน 3 เมืองที่มีวิวตอนกลางคืนสวยที่สุดในโลกเลยละครับบบบ !


เราใช้บริการจากรถขบวน 885 อีกรอบ ใช้เวลาประมาณเกือบๆ 2 ชั่วโมงก็มาถึง Nagasaki ครับ



หลายๆคนอาจจะรู้จัก Nagasaki ในเรื่องที่โดน Atomic bomb ถล่มในช่วงสงครามโลก แต่ใบปัจจุบัน Nagasaki ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของทั้งคนญี่ปุ่นและชาวต่างชาติเลยครับ นอกจากนี้ยังมีอนุสรณ์สถานเพื่อระลึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้นด้วย เพียงแต่พวกผมไม่ได้แวะไปกันเพราะไม่มีเวลามากนัก แถมได้ยินว่าบรรยากาศที่อนุสรณ์นั้นมันหดหู่มากเกินไปด้วย


เวลาเริ่มล่วงเลยผ่านไปเรื่อยๆ ตะวันก็ใกล้จะตกละ พวกผมเลยออกไปตามหา Landmark สำคัญของเมืองนี้ .... สะพานแว่นตา.....


หาไม่ยากเลยครับ นั่งรถ tram มาลงประมาณ 3 สถานี (ลืมชื่อสถานีเลยขอโทษด้วย) แต่ถามคนแถวนั้นได้ครับ ในแผนที่เมืองก็มีสะพานแว่นตาอยู่ในนั้นด้วย



สะพานแว่นตาก็เกิดจากภาพสะท้อนของสะพานนั่นแหละครับ เพียงแต่ตรงนั้นจะมีทางเดินให้ชมวิวและเป็นจุดที่ถ่ายรูปสวย และที่สำคัญที่เมือง Nagasaki แห่งนี้มีภารกิจให้เหล่านักท่องเที่ยวได้ตามกันด้วย ภารกิจที่ว่าก็คือ การตามล่าหัวใจทั้งสองในเมืองนี่ เค้าว่ากันว่า ใครที่สามารถหาหัวใจเจอจะทำให้สมหวังในความรัก ! หัวใจอันแรกจำไม่ได้ว่าอยู่ที่ไหนของเมือง แต่หัวใจอันที่ 2 มันอยู่ที่สะพานแห่งนี้นี่แหละครับ  !!!!!

ผมเดินตามหาตามผนังอยู่นานสองนาน เจออันที่คล้ายๆหัวใจบ้าง แต่คิดว่าไม่ใช่เลยตามหาต่อ จนกระทั่งผมก็ได้พบกับมัน !!!!!



จำได้ว่า ดีใจออกนอกหน้ามากจนฝรั่งแถวนั้นมอง

ผมไม่รู้ว่าเกิดจากความตั้งใจของคนงานก่อสร้างหรือเป็นเพราะเรื่องบังเอิญที่มีหินรูปทรงนี้พอดี แต่มันก็เป็นเรื่องสนุกสำหรับนักเดินทางในการมาล่าหัวใจที่เมืองนี้เหมือนกันฮะ :)



การเดินทางขึ้นไปยังจุดชมวิวเราต้องขึ้นไปที่ยอดเขา Inasayama โดยสามารถขึ้นได้ 2 วิธีครับ คือขึ้นกระเช้า กับ นั่งรถบัส

เรามาไม่ทันกระเช้ารอบสุดท้ายจึงโดยสารรถบัสแทน ควรสอบถามคนแถวนั้นก่อนด้วยนะครับว่าสายอะไรที่ขึ้นไปยัง Mt. Inasayama บ้าง รู้สึกว่าจะมีไม่เยอะนะและควรเช็ครถรอบสุดท้ายที่ลงด้วย จะได้เผื่อเวลานั่งรถไฟกลับทัน


นั่งรถมาจนถึงยอดเขา Inasa แล้ว ทางเดินก็ประดับประดาด้วยไฟสวยงามมากเลยฮะ เป็นการบิ้วอารมณ์เล็กๆน้อยๆก่อนไปเจอของจริง

เราสามารถเที่ยวชมบนนี้ได้ฟรีเลยฮะ แต่เดินเท้ากันต่ออีกซักหน่อยนะ ไม่ลำบาก เพื่อความอลังการเราทำได้

อย่าพูดมากเลย เรามาชมความงามของ 1 ใน 3 วิวกลางคืนที่สวยที่สุดในโลกกันนน !!!





ของจริงมันสวยมากกกกกกก สมคำร่ำลือที่ได้ยินมา ที่ Nagasaki ถือเป็นเมืองท่าด้วย จึงทำให้รอบๆทะเลมีแสงไฟเยอะแยะมากมาย คือคุ้มค่าแก่การมากๆครับ ใครที่ได้มาเมืองนี้ ต้องมาบนยอดนี้ให้ได้เลยนะ พูดจริง ไม่ได้โม้ เชื่อหน่อยนะ คิ


อิ่มเอมกับวิวที่สวยที่สุดในโลกมาแล้ว ก็ได้เวลากลับไป Fukuoka...รอบนี้เราใช้บริการ JR Kyushu เป็นครั้งสุดท้ายโดยได้ขึ้นเจ้า 787 express คันนี้ครับ

ถึงหอเพื่อนผมประมาณ 4 ทุ่ม เลยรีบทำภารกิจส่วนตัวแล้วก็นอนเพื่อที่วันรุ่งขึ้นจะได้ไปเที่ยวรอบเมือง Fukuoka กัน

Day 6:

วันนี้ภารกิจหลักๆของเราคือเที่ยวรอบเมืองครับ เจออะไรน่าสนใจแวะให้หมด และเราก็รู้มาว่าที่นี่มีร้าน Ichiran Ramen หรือคนไทยรู้จักกันดีว่า ราเมนข้อสอบ ! อาหารเช้าของเราในวันนี้จึงขอเป็นเจ้านี้เลยละกันครับ



หน้าร้านโดดเด่นมาก ว่าแล้วก็ยกท้องเดินเข้าไปในร้านทันที



มันเหมือนห้องสอบจริงๆฮะ ที่นั่งจะถูกแบ่งเป็นช่องๆแล้วจะมีกระดาษให้เราสั่งเมนูครับ มีให้เลือกความเข้มข้นของน้ำซุป ระดับความเผ็ด รสชาติชอบแบบไหน ความนุ่มของเส้นเท่าไหร่ แม้กระทั่งขนาดของต้นหอมสับยังมีให้เลือกเลยฮะ !!



รสชาติเต็ม 10 ให้ 10 !!!! ถ้าจำไม่ผิด ผมสั่งแบบเข้มข้น เส้นนุ่มลึกเหมือนใช้น้ำยาปรับผ้านุ่ม แล้วก็สั่งต้นออนเซนมาด้วย.....ผมให้ 3 ผ่านครับ !!!!!!

กินเสร็จก็เดินเที่ยวเลย ก่อนอื่นเพื่อนมันอยากแวะ Starbucks  เพราะดันไปเห็นเมนูแปลกๆของที่นี่เข้า

รู้สึกว่าจะเป็นน้ำ mix berry ปั่นผสมเกล็ดแอปเปิ้ลนะ อร่อยยยยยยยยย


หลังจากนั้นเราก็เดินลัดเลาะไปตามซอกเมืองเรื่อยๆ โดยมีเป้าหมายคือ Fukuoka tower ครับ

เราเน้นการเดินเท้าเป็นหลัก ตั้งแต่ในเมืองเราก็เดินชมวิวมาเรื่อยๆ จนเริ่มสังเกตุถึงความแปลกตาขึ้นทีละเล็กทีละน้อย...

ผมได้บอกไปในตอนต้นว่าช่วงที่ผมมาเป็นช่วงที่ใบไม้กำลังเริ่มเปลี่ยนสี ถ้าโชคดีสุดๆเราจะได้เห็นใบไม้สีแดงและสีเหลืองทั่วทั้งเมือง.......

แล้วความโชคดีมันมาจอดรถในวันนี้ ตรงนี้พอดีเลยครับบบบ !!!!!!!!!!!!!



ใบเมเปิ้ล 5 แฉกสีแดงงงงงงง !! อย่างกะในมิวสิควีดีโออออ !!! โอ้ยยยยย ตื่นเต้นมาก คือต้นเมเปิ้ลยังเปลี่ยนสีไม่หมด แต่บางต้นนี่แผลงฤทธิ์ออกมาเต็มๆแล้ว คือดีงามมมมมม คือเลอค่ามากกกก

แต่ที่ฟินคือไม่ได้มีแค่เมเปิ้ลที่ออกมาโชว์ลีลา ต้นบ๊วยนางก็ไม่ยอมให้ใครมาน้อยหน้า เปลี่ยนใบเป็นสีเหลืองสู้กับสีแดงเลยจ้าาาาา (นึกว่าการเมือง 5555555555)

เดินกันมาซักพักใหญ่ๆ เราก็มาถึง Fukuoka tower ละ

Fukuoka tower เป็นตึกที่สูงที่สุดในเมือง Fukuoka บนยอดตึกจะเปิดให้คนเข้าไปชมวิวทิวทัศน์รอบเมืองกันได้ฮะ แต่พวกผมไม่ได้ขึ้น เพราะมันแพง 555555 นอกจากนี้ตอนกลางคืนจะมีการเปิดไฟรอบตึก ซึ่งจะมีการเล่นไฟบนตัวตึกด้วย รู้สึกช่วงที่ผมไปจะมีการเปิดไฟเป็นรูปใบไม้ร่วงนะ เพื่อนเล่าให้ฟังมา


ที่นี่เห็นลานจอดจักรยานได้ง่ายกว่าลานจอดรถอีกครับ ขนาดอยู่ในเมืองใหญ่นะ



มันก็ดูใหญ่ดี แต่ส่วนตัวผมว่ายังไม่ค่อยมีอะไรมาก ตอนกลางคืนน่าจะน่าสนใจกว่านี้

แต่ที่แย่งซีนตึกระฟ้านี้ไปเต็มๆก็เห็นจะเป็นเหล่าใบไม้เปลี่ยนสีนี่แหละครับ


เหลืองแดงขนาบข้างเลย ยิ่งผมจบธรรมศาสตร์ยิ่งรู้สึกอิน ไม่รู้ทำไม 55555555





คุณดู !!!!! สีเหลืองเต็มสองข้างถนนเลย คุณดู !!!!!!

ผมเพิ่งรู้ว่า Fukuoka มันติดทะเลด้วย....เดินไปสักพักก็ไปเจอป้ายบอกทางไปชายหาด.......งงสิครับ 5555555555 เลยถือโอกาสไปเดินเล่นซะหน่อย



ชายหาดที่นี่ไม่ค่อยมีคนลงเล่นเท่าไหร่ ไม่รู้ทำไมฮะ แต่มีคนมาถ่ายรูปกันเยอะนะ สงสัยแดดร้อนไป


ถ้าอยู่ในช่วงที่มันเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหมดคงจะฟินกว่านี้...รอบหน้าค่อยมาใหม่ละกันนะ คริคริ


การเดินทางมาญี่ปุ่นของผมใกล้จะจบลงแล้ว 6 วันที่ผ่านมาเจอเรื่องเยอะแยะมากมาย ทั้งหลงทางไปในที่แปลกตา บังเอิญเจอกับผู้คนที่ไม่คิดว่าจะได้เจอ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างมันรวมกันแล้วให้ความรู้สึกที่ประทับใจในความไม่คาดคิดเหล่านี้ ญี่ปุ่นเป็นดินแดนที่มีเสน่ห์ เป็นดินแดนที่น่าค้นหา มันถึงได้ดึงดูดนักเดินทางจากทั่วทุกมุมโลกมายังที่นี่ แม้เราจะได้รับรู้เรื่องราวของญี่ปุ่นผ่านทางบทความ การ์ตูน รายการทีวีต่างๆ มามากก็เถอะ แต่การได้มาสัมผัสกับวิถีชีวิตของคนที่นี่ ได้มาเปิดประสบการณ์ใหม่ๆที่นี่มันก็ทำให้รู้เลยว่า.....เราไม่ได้รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับญี่ปุ่นเลยนี่หว่า......

หลายคนก็คงตั้งเป้าที่จะมาที่นี่กันอยู่เยอะ ไม่ว่าจะเที่ยวแบบวางแผนมาอย่างละเอียดยิบ หรือไม่คิดจะวางแผนเลย มันก็มีเสน่ห์ในแบบของมันแหละ ที่นี่คงมอบความตื่นเต้นให้คุณไม่ว่าคุณจะมาในรูปแบบไหน ขอแค่เตรียมใจเปิดรับเรื่องราวของดินแดนปลาดิบไว้ให้ให้เยอะๆก็พอ เพราะผมเชื่อว่า หัวใจคุณจะเต้นไม่เป็นจังหวะเหมือนที่ผมเป็นแน่ๆ

ขอบคุณสำหรับการหลงทาง และขอบคุณมากๆสำหรับการพบเจอ สัญญาว่าจะมาอีก

เจอกันใหม่ในทริปหน้าของผมนะครับ บรัยยยยยยยยย

8 - 14 OCT 2015

No comments:

Post a Comment