Das Leben ist einer Reise.

Das Leben ist einer Reise.
สวัสดี เราชื่อ มะกรูด

เราชอบเที่ยว ชอบถ่ายรูป ชอบคุยกับคนแปลกหน้า และชอบคนหน้าแปลก ชอบหัวเราะใส่หน้าคน ชอบอะไรก็ตามที่มันทำให้ยิ้มได้ และที่สำคัญ....เราชอบหลงทางงงงงงง !!!!

ท่านผู้อ่านทั้งหลายยยย ในเมื่อท่านพลัดหลงเข้ามาในบล็อกของผมแล้วก็อย่าจากไปมือเปล่าโดยไม่อ่านบันทึกเรื่องราวการเดินทางมันส์ๆสิ ถือซะว่าหลงทางมาเหนื่อยๆนั่งพักอ่านอะไรเพลินๆไปก็ได้นะ ไม่แน่ว่าบันทึกเหล่านี้ของผมอาจจะเป็นชนวนจุดไฟให้กับเท้าของคุณได้ออกเดินทางอีกครั้งนึงก็ได้

"การหลงทางไม่ใช่ความผิดพลาด แต่เป็นการเริ่มต้นสู้การเดินทางบทใหม่" นะจ๊ะ เพราะฉะนั้นแล้ว นั่งลง ตั้งสติ สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพร้อมผจญภัยไปกับผมได้เลยย !

Sunday, February 7, 2016

Lost & Found...North Kyushu [Day 1-3]

เช้าวันหนึ่งในเดือนมกราคม ระหว่างที่มะกรูดกำลังนั่งทำงานด้วยความตั้งใจอย่างสุดชีวิตเพื่อบริษัทและอนาคตของผู้ร่วมงานทั้งหมด (ตอแหลลลลลลล) จู่ๆก็มีเสียงโทรศัพท์จากเพื่อนคนหนึ่งดังขึ้นมา มะกรูดเกิดอาการตกใจจึงรีบรับสายโทรศัพท์นั้นอย่างเร็วพลัน....และสิ่งที่คุณกำลังจะได้ยินทั้งหมดต่อจากนี้ เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นภายใน 5 นาทีเท่านั้น.....

เพื่อน: ฮัลโหล แก

มะกรูด: เออว่าไง มีไรวะ

เพื่อน: มีตั๋วโปรคู่ไปกลับกรุงเทพฯ-ฟุกุโอกะ ช่วงเดือนตุลาฯ ราคาประมาณหมื่น 2 หารกันเหลือคนละประมาณ 6,000 สนใจไม๊

มะกรูด: เช็คแปป.......ไปต้นตุลาใช่มะ? ไปกลับรวมแล้วประมาณ 6,000 ใช่มะ? ตอนนั้นชั้นลาออกแล้ว ว่าง....เออ.....ไป !!!!

เพื่อน: เคร กุจองละ แค่นี้นะ บาย

มะกรูด: เออ บาย....

มันไม่น่าเชื่อว่าแค่ 5 นาทีจะทำให้การไปญี่ปุ่นครั้งแรกของผมถือกำเนิดขึ้นนนนน และมันไม่ได้หมดความตื่นเต้นแค่นั้น เมื่อผมและเพื่อนวางแผนที่จะไม่จองที่พักซักที่ในญี่ปุ่น จะไปด้นสดกันล้วนๆ โชคดีหน่อยที่ผมมีเพื่อนเรียนอยู่ที่นั่นเลยได้ไปพักกับเพื่อนผมในคืนสุดท้าย แผนการเที่ยวก็ไม่ได้มีตายตัว มีแค่ชื่อสถานที่เท่านั้น อันไหนไปได้ไป ไปไม่ได้ก็หาที่ใหม่ เรียกได้ว่าแผนการที่ชัดเจนที่สุดจนถึงวันที่เครื่องบินออกของพวกเราคือ.....เวลาไป-กลับของเครื่องบิน !! 55555555555555555

แต่เรื่องราวที่ผมกับเพื่อนได้เจอมันโคตรรรรรรจะมันส์สุดชีวิตเลยหล่ะฮะ พวกผมทั้งหลงทางและพบเจอกับสถานที่ที่เป็นความประทับใจอย่างที่สุดในทริปญี่ปุ่นของพวกเราโดยบังเอิญ ผู้คนที่เราพบเจอ มิตรภาพระหว่างการเดินทาง ความอิ่มเอมทั้งกายและใจ เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร......ปะ ! ออกไปลุยพร้อมๆกันเล๊ยยยยย !!!


มันเหมือนกับตอนเด็กๆที่เรารู้ว่าจะได้ไปสวนสนุกครั้งแรก ความรู้สึกที่จะได้เล่นเครื่องเล่นหวาดเสียวๆ แค่อารมณ์ยืนต่อคิวนั่งรถคุณปู่ในดรีมเวิลด์ก็ทำให้หัวใจแทบวายได้ หรือการเมื่อรู้ว่าจะได้ไปสวนสัตว์ครั้งแรก ภาพมังกรตัวโตๆถูกขังอยู่ในกรง หรือไดโนเสาร์ตัวใหญ่ๆกำลังไล่กินเราจะวิ่งเข้ามาในหัวทันที

พอผมได้รู้ว่าอีก 9 เดือนข้างหน้า ผมก็จะได้ไปญี่ปุ่น ความรู้สึกผมก็คงเหมือนกับเด็กๆพวกนั้นหล่ะครับ...ตาโต เนื้อตัวสั่น จินตนาการสิ่งที่จะได้พบเจอในวันที่จะได้ไปเหยียบญี่ปุ่นครั้งแรก

ผมรีบพยายามหาข้อมูลเท่าที่จะหาได้ (หรือเท่าที่อารมณ์ขยันจะมา) ซึ่งผมค้นพบว่า คิวชู หรือแถบญี่ปุ่นตอนล่างนั้น จะถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือคิวชูเหนือ และคิวชูใต้ ทางคิวชูใต้จะเด่นดังทางด้านดารานักร้องและรายการโชว์ต่างๆ ส่วนคิวชูเหนือจะดังทางด้านระเบิดนิวเคลียร์ (นั่นมันเกาหลี อิดอกกกกก !) ผมล้อเล่นนะครับ จริงๆแล้ว คิวชูเหนือและใต้จะมีเสน่ห์คนละแบบ แต่ฝั่งที่มีชื่อเสียงกว่าเห็นจะเป็นทางด้านคิวชูเหนือเพราะมีเมืองสำคัญหลายเมืองและแต่ละเมืองก็มีจุดเด่นที่ดังเป็นอันดับต้นๆของญี่ปุ่นเลยทีเดียวละนะ

และที่น่าตื่นเต้นกว่าคือช่วงตุลาที่ผมจะไปมันคือช่วงเปลี่ยนฤดูของทางนั้นพอดี ถ้าผมโชคดีอาจจะได้เห็นใบไม้เปลี่ยนสีสันสดใสด้วยละพี่เอยยยยย !!!! โอ้ยยยยยย แค่คิดก็สันหลังวูป 

อย่างที่ได้บอกไว้ตอนแรกว่าแผนการเดินทางของพวกเรานั้นมีแค่ชื่อเมืองที่อยากไปเท่านั้นครับ เรื่องที่พักพวกเราอยากจะลองเดินหากันดูซักครั้ง อยากจะรู้นักว่ามันจะให้อารมณ์แบบไหนกัน แต่ถึงอย่างนั้นพวกเราก็โชคดีอย่างนึง ในเวลาที่ไปนั้นเพื่อนของผมที่ธรรมศาสตร์กำลังเรียนภาษาอยู่ที่ Fukuoka พอดี พวกเราจึงได้รับความช่วยเหลือเรื่องที่พัก 2 คืนสุดท้าย ทำให้อุ่นใจได้บ้างว่าจะไม่นอนถนนนะ 555555

แต่ด้วยความโชคดีของพวกเราอีกนั่นแหละ เพื่อนร่วมทางของผมนางชื่อ "นิ" นางบังเอิญไปเจอเว็ปไซต์นึงที่รวบรวมโฮสต์ต่างๆทั่วโลกและเปิดรับให้ผู้ที่อยากพักอาศัยกับโฮสต์เหล่านี้แบบฟรีๆเลยหล่ะฮะ !!! โอ้แม่เจ้าาาาา ! แค่ฟังก็ตื่นเต้นแล้ววว ถ้าทำได้จะประหยัดที่พักไปได้กี่คืนวะเนี่ยยยยย พวกเราจึงได้โอกาสทดลองใช้บริการจากโฮสต์เหล่านั้นดูครับ และผลที่ได้รับมันโคตรรรจะฟินสุดเกินบรรยาย...ไว้จะมาเล่าให้ฟังทีละส่วนละกัน

Day 1:

พวกเราเริ่มออกเดินทางกันตอนตี 2 ของวันที่ 8 ตุลาฮะ สภาพของคนที่แหกขี้ตาตื่น หรือยอมอดหลับอดนอนเพื่อมาเดินทางเอาเวลานี้ควรจะเหมือนซอมบี้ที่ถูกหมากัดแทะขาในหนัง walking dead แล้ว แต่อิ 2 ตัวนี่กลับไม่เป็นอย่างนั้นครับ ทั้งผมและเพื่อนเหมือนดมกัญชามาก่อนหน้านั้น ดูมีเอเนอร์จี้มากกว่าใครไหนๆ นี่ถ้าปีนขึ้นเครื่องบินเป็นลิงได้คงทำไปแล้ว ไม่ใช่อะไรฮะ ผมตื่นเต้นมากๆที่จะได้ไปญี่ปุ่นจนนอนไม่หลับ ขนาดนั่งบนเครื่องยาว 6 ชม. ยังหลับไม่ลง สายตาของผมมองออกไปยังหน้าต่างตลอดเวลา แม้มันจะเป็นฉากเดิมๆกับทุกครั้งที่ได้ใช้บริการเจ้านกเหล็กนี้ แต่ผมก็อดคิดไม่ได้ว่ามันจะมีอะไรโผล่มาเซอร์ไพรส์ผมบนนี้หรือไม่ และมันก็มีจริงๆฮะ


ผมมองออกไปนอกหน้าต่างจนกระทั่งฟ้าเริ่มสว่าง ยังไม่ทันจะได้ลงเครื่อง ญี่ปุ่นก็ต้อนรับผมด้วยกองทัพทะเลก้อนเมฆเหล่านี้ละฮะ ! ทะเลหมอกภูทับเบิกนี่กระจอกไปเลยละว้อยยยยยย

พวกเรามาถึงสนามบิน Fukuoka ตอน 9 โมงเช้า คนโคตรรรรเยอะเลยฮะ กว่าจะต่อคิวผ่าน ต.ม. เวลาก็ล่วงเลยไปจน 10 โมงกว่าๆ เราทั้งสองจึงรีบแจ้นไปขึ้น shuttle bus เพื่อไปลง subway ที่ป้ายสถานีที่ 2 ฮะ


พอมาถึง subway ผมก็ค่อนข้างตื่นเต้นหน่อยๆฮะ เพราะเราต้องซื้อตั๋วเพื่อไปลง Hakata station เราเดินมาถึงเจ้าเครื่องขายตั๋วอัตโนมัติแต่ทุกอย่างจะเป็นเรื่องง่ายมากเลยถ้าเจ้าเครื่องนี้มันมีภาษาอังกฤษหน่ะเซ่ !!! อักษรคันจิ คาตากานะ โคบังวะ โคนิจิวะ มาเต็มไปหมดดด อ่านไม่รู้เรื่องเลยพี่เอ้ยยยย

แต่สวรรค์ก็ยังปราณีเราอยู่เช่นเคยฮะ โชคดีที่ นิ เคยมาญี่ปุ่นครั้งนึงแถบโตเกียว นางเลยรู้วิธีการต่อกรกับเจ้าเครื่องนี้เป็นอย่างดี

ผมนึกภาพรถไฟใต้ดินประเทศไทยที่คนมาออกันตรงทางเข้า ขวางทางคนออก ไม่มีคิวที่ชัดเจน รถไฟมาไม่ตรงเวลา ทุกอย่างที่พูดมานี้ถูกลบออกไปจากการได้เห็นวิถีชีวิตคนญี่ปุ่นบนรถไฟนี่แหละฮะ โดยเฉพาะเรื่องรถไฟที่ตรงเวลาชนิดที่ว่านับเป็นวินาทีกันได้เลย !!!!! ขนาดคนว่าตรงเวลาแล้ว รถไฟยังตรงเวลากว่าอีก ประเทศนี้มันอะไรกันเนี่ยยยยย


อย่างที่รู้กันว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีระบบระเบียบยอดเยี่ยมในระดับรางวัลโนเบลเลยละฮะ สินค้าและบริการเกือบทั้งหมดจะมีขั้นตอนที่ถูกวางไว้อย่างดีงาม ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นรถไฟ การขึ้นรถทัวร์ รถเมล์ รถราง ก็ต้องใช้ตั๋วเป็นใบผ่านทั้งสิ้น หรือแม้กระทั่งการซื้อข้าวกินก็ยังต้องใช้ตั๋วเลย ! ผมว่ามันเป็นเสน่ห์อย่างนึงนะ คือมันทำให้เรารู้คิวด้วย ไม่มีปัญหาการแย่งบริการอะไรด้วย คือทุกอย่างถูกกำหนดโดยตั๋วใบเล็กๆนี้เลย



พวกเรามาถึง Hakata station กันตอนเที่ยงกว่าๆฮะ พวกเราต้องนั่งรถไฟต่อไปยังเมือง Kumamoto เพราะอยากไปดูปราสาทและกะจะหาที่พักแถวนั้น

การเดินทางส่วนใหญ่ในคิวชู พวกเราจะเน้นรถไฟเป็นหลักครับ เราจึงแวะซื้อบัตร JR Kyushu Rail Pass ระยะเวลา 5 วันเฉพาะเส้นคิวชูเหนือไว้ก่อน ขอบอกเลยว่าบัตรนี้โคตรรรรรรรรคุ้มและทำให้เรารอดชีวิตมาได้หลายต่อหลายครั้งละ หน้าตาของเจ้าบัตรผ่านเป็นแบบนี้ครับ


บัตรนี้เราสามารถใช้เข้าออกรถไฟสายหลักและรถไฟท้องถิ่นในระยะเส้นทางของคิวชูเหนือทั้งหมดได้เลยครับ เพียงแค่คุณโชว์บัตรนี้ให้พนักงานรถไฟดู คุณก็จะมีสิทธิในการเดินเข้าเดินออกกี่ครั้งก็ได้ไม่จำกัดจำนวน นี่สถานีรถไฟหรือสวนสาธารณะ !

เออข้อควรระวังอย่างนึงของการใช้บัตรนี้คือ ถ้าเราจะนั่งรถไฟ Shinkansen หรือขบวน Express ต่างๆ เราต้องทำการจองที่นั่งทุกครั้งก่อนขึ้นรถไฟนะครับ แต่ถ้าไม่อยากนั่งที่แบบ reserved seat เราก็สามารถนั่งแบบปกติได้โดยขึ้นโบกี้ที่บอกว่าเป็น Non-reserved ครับผม

ระหว่างที่รอรถไฟรอบต่อไป พวกผมหิวขนาดที่จะหยิบบัตร JR Pass มากินกันแล้ว เราจึงลงไปชั้นใต้ดินเพื่อไปประเดิมเมนูดังของเมือง Hakata ครับ ตำราพิชัยสงครามเคยกล่าวไว้ว่า "ผู้ใดที่ได้มาเยือนเมือง Hakata นี้ จักต้องได้ลิ้มลอง Hakata Ramen ที่ขึ้นชื่อให้จงได้" ไอตอนแรกผมก็คิดว่ามันคือชื่อร้าน "Hakata Ramen" แต่หารู้ไม่ว่าจริงๆแล้ว มันหมายถึงราเมนทั้งหมดของเมืองนี้เลย ! ว่าไปนั่นผมก็เดินอยู่นานสองนาน เลือกไม่ถูกว่าจะเข้าร้านไหนดี (จริงๆคือระแวงเพราะมีแต่ภาษาญี่ปุ่น อ่านไม่ออก 555555) ท้ายที่สุดผมก็ตัดสินใจเข้าร้านนึงครับ เห็นว่าเขานั่งกินสไตล์ญี่ปุ่นกันดี (ก็มันประเทศญี่ปุ่น !!!)



ผมสั่งเมนูที่ถูกที่สุดของร้านแต่ขนาดและปริมาณมันอยู่ในระดับภัตตาคารเลยฮะ !! คือโคตรรรใหญ่ น้ำซุปคือหอม นุ่มลิ้น กระตุ้นกระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ กระเพาะปัสสาวะ กระเพาะรักเธอ (ทุ้ยยยยย) เนื้อหมูชิ้นใหญ่เท่าตึกถูกวางลงบนน้ำซุป ไขมันหนาๆแทบละลายในปากเมื่อสัมผัสกับลิ้นของผม และทีเด็ดของชามนี้....เส้นราเมนแบบฉบับของเมือง Hakata ครับ ! เส้นราเมนที่นี่จะมีลักษณะกลมเล็กกว่าที่อื่น แต่มันนุ่มมากกกกกกกกก และอร่อยเข้ากับรสชาติอื่นๆโคตรๆๆๆๆ ในฐานะที่ผมเป็น Ramen lover ผมขอให้..... 8 กะโหลกครับ !!

อย่างที่เกริ่นไปตั้งแต่ต้นว่าการเดินทางส่วนใหญ่ของเราจะใช้รถไฟ และถ้าพูดถึงรถไฟในญี่ปุ่น ทุกคนจะต้องตื่นเต้นที่ได้ยินชื่อ Shinkansen เจ้ารถไฟความเร็วสูงสุดโด่งดังของพี่เค้า แต่ใครจะไปรู้ละครับ ว่าจริงๆแล้วที่นี่เค้ามีรถไฟอื่นๆนอกเหนือจากเจ้า Shinkansen และมีชื่อเสียงไม่แพ้กันเลย โดยเฉพาะรถไฟของแถบคิวชูที่เรียกได้ว่าเป็นพระเอกของทั้งญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้

รถไฟทั้งหมดในคิวชูจะถูกบริหารโดยบริษัท Kyushu Railway Company ซึ่งรถไฟที่นี่จะแบ่งเป็น Shinkansen, Limited Express และก็ Local trains ครับ

ทีนี้....ในเมื่อรถไฟถือเป็นสัญลักษณ์เชิดหน้าชูตาของคิวชู ความโดดเด่นมีเอกลักษณ์สุดพิเศษเพิ่มงอกเพิ่มเกี๊ยวของเจ้ารถไฟต่างๆจะต้องไม่ธรรมดาเหมือนใครๆในโลกนี้ เริ่มต้นด้วยโลโก้เฉพาะของรถไฟคิวชูเลยฮะ


ซึ่งผมก็ไม่รู้หรอกนะว่าสัญลักษณ์คล้ายนกนี่หมายถึงอะไร แต่มันเหมือนนกกระดาษที่เห็นในการ์ตูนญี่ปุ่นเลย

ขบวนรถไฟที่เราจะใช้บริการเพื่อไปมุ่งหน้าสู่ Kumamoto คือขบวน 885 Express ครับ ด้านนอกก็หรูหราโอ่อ่าพอละ ไม่ต้องพูดถึงข้างในฮะ ผมนี่แทบถอดรองเท้าจิกเท้าเดินเป็นบัลเล่ต์กลัวจะทำพื้นเค้าเลอะ



ประตูรถไฟจะเป็นแบบอัตโนมัติทั้งหมดฮะ รวมไปถึงพวก Local trains ด้วย ที่นั่งนุ่มสบาย สะอาดสะอ้าน แอร์เย็นฉ่ำ ที่นั่งปรับให้หันมาชนกันได้ และที่สำคัญ...ทุกขบวนจะมีพนักงานคอยให้บริการด้วย ให้ความรู้สึกเหมือนนั่งเครื่องบินเวลามีแอร์โฮสเตสเดินเช็คความเรียบร้อยของผู้โดยสารเลยฮะ




สถานการณ์บนรถไฟค่อนข้างสงบสุขดีมากๆครับ ไม่เคยคิดว่าการนั่งรถไฟจะสามารถง่วงนอนได้ขนาดนี้ ผมสปงกอยู่พักใหญ่จนสายตาผมเหลือบไปมองเห็นวิวข้างๆ.....ทุ่งนาาาาาาสีเหลืองงงงงง !! บังเอิญมากที่ช่วงที่เราไปดันไปตรงกับฤดูเก็บเกี่ยวข้าว ซึ่งแน่นอนว่าผมได้มีโอกาสไปสัมผัสกับมันชนิดถึงรากถึงโคน !! ไว้จะมาเล่าให้ฟังทีหลัง คริคริ

รถไฟเดินทางประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึงสถานี Kumamoto ครับ แต่อย่างที่บอกว่ารถไฟมันนั่งสบายมาก พวกเราเผลอหลับจนคนออกไปหมดขบวนแล้ว ก็ยังไม่ตื่น ! 55555555 โชคดีมากที่ได้พี่ผู้หญิงชาวญี่ปุ่นมาปลุกให้รีบออกไป เพราะพนักงานกำลังจะทำความสะอาดรถไฟพอดี เริ่มต้นทริปด้วยความตื่นเต้นกันเลยทีเดียว 55555

ถือซะว่าเมืองนี้เป็นเมืองแรกในการเที่ยวญี่ปุ่นของผมละกันเนอะ เอกลักษณ์ต่างๆของเมืองนี้ค่อยออกมาทีละนิดทีละหน่อย แต่ที่ขาดไม่ได้เลยมันคือเจ้าตัวนี้ฮะ..... Kumamon



ไอเจ้าหมีสีดำแก้มแดงที่ทำตาโตฉีกยิ้มกวนประสาทผมอยู่สามารถพบเห็นได้ทั่วทั้งเมืองเลยฮะ ไม่ว่าจะในโรงพยาบาล ศาลเจ้า โรงเรียนอนุบาล หรือแม้กระทั้งในกางเกงของคุณ (ถ้าคุณซื้อกกน.มานะ) เจ้าตัวนี้ถูกยกให้เป็นมาสคอตประจำเมือง Kumamoto เมื่อไม่นานมานี้เองครับ โดยได้รับการโหวตจากชาวเมืองว่าควรให้มันมายิ้มใส่หน้านักท่องเที่ยวทุกคนที่มาเยือนเมืองนี้ จะได้จดจำกันไปอีกนาน ซึ่งก็ค่อนข้างได้ผลเลยทีเดียวเพราะผมได้ยินชื่อเจ้าตัวนี้ตั้งแต่ตอนอยู่ที่ไทยแล้วหล่ะ ถึงขนาดมีทริปไปล่าเจ้า Kumamon กันเลยทีเดียว ซึ่งผมยังสาเหตุไม่ได้ว่าทำไมถึงต้องเป็นหมีตัวนี้ มันมีจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ ใครรู้ช่วยบอกผมทีนะ ขอบคุณครับ


เออ อีกอย่างที่ผมค่อนข้างประทับใจมากๆเลยคือเหล่าบรรดาคนขับแทกซี่ฮะ แทบทุกคนจะต้องใส่สูท แต่งตัวดูดียิ่งกว่านักธุรกิจเมืองไทย คือดูไฮมาก แล้วยิ่งมารยาทของเค้าในการรับลูกค้าคือสุดยอดจริงๆ ไม่มีใครเดินไปเรียกลูกค้าถึงเนื้อถึงตัวซักคน ทุกคนจะยืนรอที่รถ อย่างสงบ รอเวลาที่ลูกค้าเดินเข้ามาใช้บริการ เขาก็จะโชว์พลังในการบริการระดับ 8.5 ริกเตอร์ให้เห็น คือดูดี คือมีมารยาท คือให้อารมณ์ private มาก หลับตานี่นึกว่านั่งลีมูซีน ถึงแม้ราคาจะแพงไปหน่อยแต่เทียบกับบริการแล้วประหนึ่งนั่งเครื่องบินเลยหล่ะ

แต่ก็อย่างที่บอก.....มันแพง เราเลยไม่คิดจะนั่ง 555555555555 สุดท้ายพวกเราเดินออกมาทางฝั่ง East gate เพื่อมาขึ้น City tram ครับ



จริงๆผมเคยนั่งรถรางเมื่อสมัยยังเด็กมากๆตอนไปฮ่องกง ตอนนั้นผมอายุ 3 ขวบ เท่าที่จำความได้มันคือความตื่นเต้นขั้นสุด เพราะมันมี 2 ชั้น....งงมาก กับรถ 2 ชั้น นอกจากหมู 3 ชั้นแล้ว เพิ่งจะเคยเห็นอะไรที่เป็นชั้นๆแล้วตื่นเต้นเนี่ยแหละ....พอมาที่ญี่ปุ่น มันมีชั้นเดียว.....แต่ทำไมรู้สึกมันมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูกนะ คนที่นี่คงรู้สึกปกติมาก แต่ผมรู้สึกตื่นเต้นเหมือนเมื่อสมัยที่ไปเห็นที่ฮ่องกงเลย

สถานีที่เราจะไปลงคือ Kumamoto Castle ฮะ เราเริ่มต้นที่นี่ก่อนเพราะแถวนั้นมันใกล้กับแหล่งท่องเที่ยวกลางคืนด้วย น่าจะหาที่พักได้ไม่ยาก.........ซะเมื่อไหร่หล่ะไอน้องงงงงงงง !!!!

ผมมาถึงตอนประมาณบ่าย 3 โมงแล้วเริ่มเดินหาที่พักกันก่อนเที่ยวปราสาท....เดินเข้าไปทุกตึกที่ "คาดว่า" น่าจะมีโรงแรม เพราะมันหาชื่ออังกฤษยากมากกกกกกก ถ้าเจอก็เดาทางยากอีกว่าใช่หรือปล่าว เราเดินขึ้นบนตึก เดินส่องประตู จนเวลาล่วงไป 4 โมงกว่าๆก็ยังหาที่พักไม่ได้ ที่เราเจอส่วนมากจะเป็น pub bar ซะมากกว่า ถ้าเจอโรงแรมก็เป็นระดับ 97 ดาว ราคาทำร้ายร่างกายมาก จนสุดท้ายเราตัดสินใจไปเที่ยวปราสาทเลยละกัน ก่อนที่มันจะปิด ค่อยมาหาใหม่ตอนกลางคืน


อันนี้ตึกจอดรถจักรยานฮะ......ฟังไม่ผิดฮะ จักรยานก็เป็นใหญ่ได้ฮะ คือถ้าที่ไทยมีสวัสดิการสำหรับคนขี่จักรยานแบบนี้ เชื่อผมเลยว่าพวก เมืองสีเขียว เมืองจักรยาน ที่ชอบพูดกันบลาๆ เกิดขึ้นไม่ยากแน่นอน


แหล่งชอบปิ้งที่เขาเรียกกันว่า Ginza เป็นแหล่งรวมวัยรุ่นของที่นี่ ให้อารมณ์เซนเตอร์พอยต์เลยหล่ะ ยิ่งตอนกลางคืนจะคึกคักเป็นพิเศษ


เออ ทริปนี้ผมหลงเสน่ห์เจ้าตัวน้อยสายเลือดปลาดิบมากๆ ยิ่งเหล่าทารกนี่แก้มตุ่ยเป็นชินจังเลยฮะ น่ารักมากกกก เด็กคนนี้ไปเจอตอนระหว่างข้ามถนนไปปราสาท นางหันมาสบตากับผม ในใจของนางคงคิดว่า "ถ้ากุโตเมื่อไหร่ เมิงเป็นผัวกุแน่ๆ" ชัวร์ มองไม่หยุดเลยฮะ ผมเลยขออนุญาตแม่นางถ่ายรูปซะเลย

(เออ อีกอย่างที่อยากจะเตือนไว้ คนญี่ปุ่นบางคนไม่ค่อยชอบถูกถ่ายรูปนะครับ โดยเฉพาะคนแก่และพวกเด็กๆ ไม่แน่ใจว่าถึงขั้นเป็นกฎหมายด้วยหรือเปล่า แต่ถ้าคิดจะถ่ายคนเล่นๆนี่ คิดให้ดีๆนะฮะ ขออนุญาตก่อนได้ก็ควรนะ)



อย่างที่บอกว่าคนที่นี่ชอบสร้างเรื่องราวให้มันน่าสนใจ เกือบทุกที่ที่เราไปมักจะมีตราปั้มให้เราปั้มลงหนังสือเก็บสะสมด้วยฮะ อันนี้เป็นของปราสาท Kumamoto สามารถปั้มได้ที่หน้าทางเข้าเลย




ปราสาท Kumamoto เป็นหนึ่งในปราสาทติดอันดับ top 10 ของญี่ปุ่น ที่แม้กระทั่งคนญี่ปุ่นด้วยกันเองก็อยากมาเห็นด้วยตาเหมือนกัน ที่นี่เคยเป็นจุดยุทธศาสตร์ทางการรบสำคัญมากมายในญี่ปุ่นเลยหล่ะ แถมขึ้นชื่อว่า เป็นหนึ่งในปราสาทที่สวยงามที่สุดของญี่ปุ่นด้วยนะเอออ


รอบๆปราสาทก็จะมีจุดนั่งพัก ชมวิวเมือง สูดอากาศสบายๆกันด้วยฮะ นอกจากนี้เราสามารถเดินเข้าไปชมภายในปราสาทได้ด้วยนะ




ในเมื่อนายแบบมันไม่มี มันก็ต้องเล่นเองอะเนอะ 55555555

เวลาล่วงเลยมาเกือบจะ 6 โมง พวกเราเลยตัดสินใจออกจากปราสาทมาหาที่พักกันต่อ เราเดินไปหา Information center เพื่อถามเกี่ยวกับ hostel ระแวกนี้พร้อมทั้งใช้ Wi-fi หาที่พักกันเองด้วย แต่ก็เหมือนจะยังหาไม่ได้สักทีจนเราตัดสินใจ เดินไปหากันอีกรอบ



และในที่สุด เราก็ได้มาพบกับที่นี่ฮะ....ราคาที่ว่าถูก ก็ไม่เตะตาเท่ากับคำว่า "capsule hotel".....ขุ่นแม่ !! ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามมานานมาก ไม่คิดว่ามาครั้งนี้จะได้มีโอกาสนอน แต่มันก็ฟลุ๊คเจอจนได้ ไม่รอช้า เราเลยเดินเข้าไปที่ counter เพื่อจองห้องทันที



รูปร่างหน้าตาไม่เหมือนกับที่คิดไว้ ตอนแรกจินตนาการว่ามันจะเป็นกล่องรูปร่างเหมือนยาแคปซูล แต่อันนี้มาเป็นรูเลย เรียงกันเป็นแถวได้อารมณ์ไปอีกแบบ ในรูเล็กนั่นจะมีทีวี ไฟ ปลั๊กไฟ แอร์ นาฬิกาปลุก นี่ถ้าอาบน้ำในตัวได้คงจะเพอเฟคไม่ใช่น้อย

ก่อนจะหมดคืนแรกที่ญี่ปุ่น พวกเราเลยออกมาหาอะไรทานแถว Ginza กันฮะ


ไอเจ้าปลานี่หลายๆคนคงรู้จักเพราะเห็นเอามาขายที่ไทยกันไม่นานนี้ ผมไม่เคยลองตอนอยู่ไทยนะ แต่พอมากินทีนี่แล้วชอบบบบบ มันอร่อยดี ครีมทะลักจนแทบกระเด็นเข้าตา

เราเดินหาร้านอาหารกันอยู่หลายรอบจนมาถูกใจร้านนี้ฮะ มองเข้าไปแล้วเห็นมันวุ่นวายๆดี คนเต็มร้าน อีกอย่างคือมันถูก !!


ขอประทานอภัยด้วยที่ไม่ได้ถ่ายหน้าร้านมาแต่ภายในร้านเป็นแบบนี้ฮะ มีอยู่ที่เดียวในแถบนั้น

ถึงราคาจะถูก.....คุณภาพไม่รูู้ดีแค่ไหน แต่ปริมาณนี่ให้มาเยอะแบบประชดประชันมากฮะ แถมมันดันอร่อยด้วยเนี่ยสิ !!






กินกันประหนึ่งคนขาดแคลนอาหารมาแรมปี พออิ่มแล้วก็ตรงเข้าที่พักทันทีเพื่อพักผ่อนเอาแรง และก็ปิดฉากวันที่ 1 ไปอย่างอิ่มกายสบายใจจจจ

Day 2:

ในวันนี้เราจะมุ่งหน้าไปสถานที่ที่ชาวญี่ปุ่นหมายหัวไว้ว่าเป็น The must ของพี่เค้าที่ครั้งหนึ่งในชีวิตต้องมาให้ได้ แต่มันอาจจะอยู่ห่างจากเมือง Kumamoto ไปสักนิดเลยทำให้ที่นี่ไม่ค่อยจะมีชื่อมากนักในหมู่นักท่องเที่ยวชื่อเสียงเรียงนามของสถานที่นั้นก็คือ.... Takashiho Gorge



อาหารเช้าของวันนี้ฮะ ข้าวปั้นในร้าน 7-11 เนื้อแซลม่อนข้างในอย่างแน่น ถูกมากกกกก อร่อยมากกก



เราเริ่มต้นที่ Hakata Bus Center ซื้อตั๋วไปกลับ เมือง Miyasaki โดยจะลงที่ Takachiho ในราคา 4110 เยนครับ นั่งรถไปประมาณ 3 ชั่วโมง


จุดจอดรถในเมือง Takachiho จะอยู่ติดกับ Information เลยครับ พนักงานพูดอังกฤษได้นิดหน่อยแต่บริการดีเยี่ยม เราสามารถเช่าจักรยานปั่นรอบเมืองได้ที่นี่ และขอบอกไว้เลยว่า ชาเห็ด shitake ของที่นี่โคตรรรรอร่อยครับ !!! ฟรีอีกตะหาก !!!





นั่งพักดื่มชา สอบถามเส้นทางจากพนักงานเรียบร้อยก็ได้เวลามุ่งหน้าสู่เป้าหมายของเราทันที


พวกเราเช่าจักรยานแบบไฟฟ้ามาครับ ครั้งแรกที่เคยขับและมันประหยัดแรงได้เยอะจริงๆฮะ เพราะเราต้องขึ้นเนินชันๆเยอะมาก เจ้าตัวนี้แทบจะผ่อนแรงพวกผมไปได้เยอะ


เป้าหมายอยู่อีกไม่ไกลแล้ว ลุยยยยยยยย


ปั่นมาประมาณครึ่งชั่วโมงก็มาถึงที่หมายฮะ

Takachiho Gorge นั่นเป็นช่องเขาที่เกิดจากการกัดเซาะของแม่น้ำ Gokase ที่ไหลผ่านชั้นหินลาวาจากภูเขาไฟ Aso จนทำให้ชั้นหินยกตัวขึ้นมา 2 ข้าง เกิดเป็น Takachiho Gorge แห่งนี้ครับ

ความสูงของช่องเขานี้สูงประมาณ 17 เมตร และมีความยาวเกือบ 600 เมตรเลย ข้างในช่องแคบจะมีน้ำตกที่เป็น highlight ของงาน แถมรอบๆยังมีดอกไม้นานาพรรณให้ชมอีกด้วย ซึ่งดอกไม้ ใบไม้เหล่านี้จะเปลี่ยนสีตามฤดูกาลทำให้ที่นี่สามารถเที่ยวชมได้ทั้งปีเลยฮะ



เราสามารถเดินชมความงานได้ตลอดแนวสัน หรือใช้วิธีล่องเรือผ่านช่องแคบซึ่งเป็นที่นิยมสำหรับนักท่องเที่ยวเลยหล่ะฮะ





ก่อนจะไปล่องเรือก็ขอเติมพลังกันซักหน่อย เราเหลือบไปเห็นโมจิลูกเบอเริ่มขายอยู่ จึงขอจัดมา 1 ไม้ อร่อยใช้ได้.....แต่เมนูหลักที่จะพลาดไม่ได้เมื่อมาที่นี่ไม่ใช่โมจิครับ.....แต่มันคือ โซบะเย็นลอยน้ำ ที่มีที่นี่แห่งเดียวเท่านั้นนนนนน นั้นนน นั้นน นั้นนนนนนน.....



ไม่รอช้า เราก็บอกคุณป้าพนักงานว่าขอชุดโซบะเย็นลอยน้ำชุดใหญ่ 2 ชุด !! คุณป้าแกก็ให้เราประจำการที่หน้าไม้ไผ่ แล้วนางก็เข้าป้อมปราการที่ต้นทางไม้ไผ่แล้วก็เริ่มบรรจงหยอดเส้นโซบะมาทีละก้อนๆ...






สนุก!! ตื่นเต้น!! ลุ้น!! คือความรู้สึกที่ได้ตอนคีบเส้นฮะ เส้นไหลมาตามลำไม้ไผ่ค่อนข้างเร็ว ป้าแกก็ใส่เส้นมาแบบไม่ยั้งมือ คีบกันแทบไม่ทัน เส้นไหนที่หลุดสายตาเราไปมันจะไหลไปลงที่ตะกร้าแล้วป้าแกจะเอาเส้นในตะกร้ามาให้เราอีกทีนึงฮะ 


ระดับความอร่อยถือว่าธรรมดาครับ ไม่ได้อร่อยตูมตามขนาดนั้น แต่พอรวมกับความรู้สึกตื่นเต้นตอนคีบเส้นโซบะ มันเลยทำให้เมนูนี้ดูดีขึ้นมากเลยหล่ะฮะ อาหารอื่นๆในเซทก็ไม่มีอะไรพิเศษครับ ถ้าใครอยากมาลองแนะนำสั่งแค่เส้นพอ

อ่อ พนักงานที่นี่น่ารักมากกกก ถึงจะพูดอังกฤษไม่ได้แต่นางดูแลดี แถมพอรู้ว่าเราเป็นไทยพวกนางก็ให้ความสนใจใหญ่ กลายเป็นลูกค้า VIP ของร้านเลยฮะ 55555


เจ้าตัวนี้น่าจะเป็นมาสคอตประจำ Takachiho Gorge1 นางนั่งนิ่งไม่สนใจใคร แต่พอขอถ่ายรูปนางจะเก็กทันที


เอาละ เติมพลังท้องกันได้ที่ก็ถึงเวลาที่จะไปพายเรือล่องช่องเขากันแล้ว

เรือต่อลำจะนั่งได้ประมาณ 3 คนฮะ รอบละประมาณ 1 ชั่วโมง ราคาจำไม่ได้ว่าเท่าไหร่แต่ไม่แพงมาก ค่าเรือหารตามจำนวนคน ถ้าคว้านักท่องเที่ยวแถวนั้นมาหารกันได้ก็จะดีไม่ใช่น้อย


เจ้าเป็ดตัวน้อยๆเราจะเห็นได้เต็มแม่น้ำเลยฮะ นางจะมาเล่นแถวๆเรือของเรา เหมือนเป็นองครักษ์ส่วนตัวเลย

ว่าแล้วก็ลองไปชมความงามอลังการของที่นี่กันเลยครับบบ !




พายมาได้ซักแปบก็จะมีจุดพักเรือข้างหน้าน้ำตกครับ มันจะเป็นเวิ้งใหญ่ๆให้ถ่ายรูปน้ำตกกันแบบสบายๆ



พอเลยจุดพักเรือก็เลยหันกลับไปถ่ายรูป ซึ่งถือเป็นมุมอมตะมุมนึงของที่นี่เลยฮะ



ใครที่พายเรือไม่แข็งจะค่อนข้างลำบากหน่อยฮะ เพราะขากลับต้องพายต้านกระแสน้ำด้วย แต่ก็เป็นประสบการณ์ที่สนุกไม่ใช่น้อยเลย

เราลงเรือเตรียมตัวเองปั่นจักรยานเที่ยวต่อ ก่อนหน้านั้นก็จัดไอศครีมกันคนละโคน





ระหว่างที่เรากำลังปั่นจักรยานชมทิวทัศน์อยู่นั้น เราก็เริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงของใบไม้รอบๆฮะ บางต้นสีของมันเริ่มกลายเป็นสีแดงแล้ว มันทำให้ผมตื่นเต้นมากเลยว่าในช่วงก่อนวันที่พวกผมจะกลับ ผมจะต้องได้เห็นใบไม้เปลี่ยนสีทั่วทั่งคิวชูแน่ๆ !!



ในส่วนอื่นๆของเมือง Takachiho นี้ก็ยังมีสถานที่สำคัญอีกเยอะแยะครับ เพียงแต่วันนั้นพวกผมไม่มีเวลา เลยทำได้แค่ถ่ายวิวของสะพานนี้แล้วก็นั่งรถ bus กลับไปยัง Hakata Bus Center

จุดมุ่งหมายต่อไปคือสถานที่พักผ่อนของคืนที่ 2 ของเราฮะ เราวางแผนกันว่าจะไป Mount Aso จึงต้องหาที่พักระแวกนั้น และเราก็ได้ที่พักที่นึงผ่าน Couchsurfing ครับ....สำหรับนักเดินทางบางท่านอาจจะคุ้นเคยกับชื่อนี้ แต่ผมเชื่อว่าหลายๆคนคงจะไม่เคยได้ยินแน่ๆ

Couchsurfing ที่ว่า มันคือเวปสำหรับ Backpacker ที่ต้องการหาที่พักกับคนท้องถิ่นแบบไม่เสียค่าใช้จ่าย ให้อารมณ์คล้ายๆ Airbnb แต่ว่า Couchsurfing จะพิเศษกว่าตรงที่โฮสต์ที่รับพวกเราไปพักนั้นสมัครมาด้วยใจ ให้ความรู้สึกเหมือนรับเพื่อนนักเดินทางด้วยกันให้มาพักผ่อนในช่วงเวลาสั้นๆที่บ้านของเค้า

ใครสนใจอยากลองประสบการใหม่ๆก็เข้าไปได้ที่เว็ปไซต์นี่เลยฮะ https://www.couchsurfing.com/


ผมได้ติดต่อโฮสต์ไว้หลายที่ แต่สุดท้ายก็เจอกับโฮสต์คนนึงครับ เป็นความบังเอิญที่เรียกได้ว่าโชคดีที่สุดและประทับใจที่สุดในทริปญี่ปุ่นของพวกผมเลยก็ว่าได้นะ

โฮสต์ที่ผมได้ติดต่อไปชื่อโจนาธาน เขาเป็นคนเบลเยี่ยมที่แต่งงานกับคนญี่ปุ่นแล้วมาอาศัยที่ญี่ปุ่นเกือบ 10 ปีแล้วครับ พูดญี่ปุ่นได้เหมือนเจ้าของภาษาเลย แต่แน่นอนว่าเราติดต่อกันเป็นภาษาอังกฤษซึ่งก็ทำให้เรื่องมันง่ายขึ้นเยอะ

ผมได้สอบถามที่พักของโจนาธานเพราะเห็นว่ามันใกล้กับ Mt. Aso นางเลยให้ที่อยู่และการเดินทางกับพวกเรามา...นางบอกว่าที่พักของนางอยู่ใน Minami-Aso village นะ ตอนแรกเราก็ไม่รู้ว่าเป็นยังไงหรอกครับ แต่ก็เห็นว่ามันน่าสนใจและใกล้จุดหมายของเราด้วยเลยตอบตกลงไปว่าจะขอพัก 1 คืน

นัดหมายกันเรียบร้อยแล้วนางก็มารับเราที่สถานีรถไฟประมาณ 4 ทุ่ม (จริงๆนัดเจอกันประมาณ 3 ทุ่ม แต่เกิด accident เล็กน้อย ลงผิดสถานี ทำให้เราต้องนั่งแทกซี่โดยได้ความช่วยเหลือจากวัยรุ่นญี่ปุ่น 3 คนแถวนั้นฮะ ขอขอบคุณพวกเค้าอีกรอบ)  


และนี่คือโฉมหน้าโฮสต์ของพวกเราฮะ โจนาธาน....นางอารมณ์ดีมากๆเลย เป็นกันเองสุดๆ นางขับรถมารอเราที่สถานีเป็นชั่วโมง พอมาถึงบ้านก็ได้ทำอาหารเล็กๆน้อยๆตามสไตล์คนญี่ปุ่นให้ทาน นั่นคือบ๊วยดองกับซุปมิโซะ เป็นครั้งแรกที่ได้ลองทานแบบนี้ ผมค่อนข้างชอบนะ แต่เพื่อนผมไม่ค่อยพิสมัยมันเท่าไหร่ 55555

เราได้แลกเปลี่ยนประสบการกันพักใหญ่ครับ ถามถึงเหตุผลที่นางมาญี่ปุ่น ไปเที่ยวไหนมาบ้าง พูดภาษาอะไรได้บ้าง สนุกดีฮะ นางบอกว่าก่อนหน้านี้ก็มี Couchsurfer มาพักที่บ้านนางเหมือนกัน มันคงจะรู้สึกดีไม่ใช่น้อยเลยเนอะที่ได้มีเพื่อนใหม่ให้เรารู้จักตลอดเวลา และมีรสนิยมการท่องเที่ยวเหมือนๆกัน

โจนาธานบอกกับพวกผมว่าแฟนของนางชื่อ ชิโยะ ทำงานร้านอาหารอยู่จะกลับมาดึกๆ ส่วนแม่ของโจนาธานก็บังเอิญบินมาจากเบลเยี่ยมเพื่อมาหาพวกนางแต่ตอนนี้นอนอยู่ โจนาธานต้องเข้านอนก่อนเพราะทำงานเช้า พวกผมเลยรอเจอชิโยะเพื่อทักทายและเอาของฝากจากประเทศไทยไปให้ครับ

Day 3:


ตื่นเช้ามาเราก็ได้เจอกับคุณแม่ของโจนาธาน เราเลยได้พูดคุยกันแล้วก็พบว่าทั้งครอบครัวเป็นคนอัธยาศัยดีมากๆเลยฮะ คุยแปปเดียวก็รู้สึกถูกคอเลย ปกติทุกเช้าคุณแม่ท่านจะเดินออกกำลังกายรอบหมู่บ้าน หลังจากทานข้าวเสร็จท่านเลยชวนพวกผมออกไปเดินเล่นด้วย

ท่านเล่าให้ฟังว่าในหมู่บ้านนี้มีบ่อน้ำแห่งนึงซึ่งมีชื่อเสียงมาก เป็นต้นกำเนิดของน้ำที่คอยหล่อเลี้ยงหมู่บ้านแห่งนี้ แค่ฟังก็รู้สึกขนลุกแล้วหล่ะฮะ เราตื่นเต้นมากที่จะได้ไปดูมัน....แต่ไม่ทันจะได้ก้าวออกจากบ้านเลยครับ ผมก็ได้เห็นวิวที่ทำให้ผมร้องอ้าปากค้างอย่างไม่น่าเชื่อ....



ขุ่นพระ !!!! อะไรมันจะเหลืองได้กระแทกสายตาขนาดนี้ !!! ช่วงที่ผมไปดันประจวบเหมาะกับช่วงที่ทุ่งข้าวออกรวงเต็มที่ พร้อมจะเก็บเกี่ยว แล้วหมู่บ้านนี้มีอาชีพหลักคือปลูกข้าว ทำให้ไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็จะเห็นรวงข้าวสีเหลืองเต็มไปหมด โอ้ยยยยยยยยยยย พิมพ์อยู่ตอนนี้ก็ยังอยากจะกลับไปช่วงเวลานั้นอีก อยากจะอยู่ตรงนั้นนานๆเลยยยย

ตอนนั้นคิดว่าถึงจะไม่ได้เห็นใบไม้เปลี่ยนสีแต่ก็โชคดีที่ได้มาเจออะไรแบบนี้แทน ชอบมากกกกก

แต่ก่อนที่จะไปแหวกว่ายอยู่กลางทุ่งนา คุณแม่ท่านได้พาพวกผมไปที่บ่อน้ำที่เล่าให้ฟังก่อน




บ่อน้ำนี้ดูเหมือนไม่มีอะไรครับ แต่ท่านเล่าให้ฟังว่า บ่อนี้เป็นต้นกำเนิดที่เป็นแหล่งชลประทานหลักของหมู่บ้าน การเกษตรทั้งหมดจะใช้น้ำที่ไหลมาจากบ่อนี้รวมไปถึงน้ำสำหรับบริโภคและอื่นๆในชีวิตประจำวันด้วย เรียกได้ว่านี่คือบ่อน้ำแห่งชีวิตของคนในหมู่บ้านนี้เลย

แม่เจ้าา ! ฟังถึงขนาดนี้ก็รู้สึกขนลุกแล้ว แต่ที่โหดไปกว่านั้นคือ....คุณแม่ท่านได้พกขวดพลาสติกเปล่ามาแล้วตักน้ำในบ่อสดๆร้อนๆยื่นให้พวกผมดื่มกัน ท่านบอกว่าน้ำที่บ่อนี้สะอาดมาก สามารถดื่มได้เลย เป็นน้ำแร่จากธรรมชาติของแท้ !! บ้าไปแล้วววววว ปกติดื่มน้ำแร่ในขวดก็ไม่ได้อะไรนะ แต่นี่ดื่มสดจากในบ่อเลย !! บ้าไปแล้วววววว ณ เวลานั้นรู้สึกเหมือนตัวเองได้เจอกับสวรรค์ หลังจากเหตุการณ์แย่ๆในการตกรถไฟเมื่อคืนก่อน

หลังจากดื่มด่ำกับน้ำแร่และตักน้ำตุนสำรองไว้พอสมควร ก็ได้เวลาสำหรับการลุยทุ่งนาสีเหลืองทองผ่องอำไพ !





ถ่ายยังไงก็สวยยยยยย ลองสังเกตุวิวข้างหลังจะมีพื้นที่นาเป็นหย่อมๆเต็มไปหมด เหลืองงงงงงอร่ามสวยงามมากกกกก


นี่คือเจ้าบ่อน้ำที่ว่าครับ หมู่บ้านนี้ค่อนข้างเป็นที่รู้จักมากแต่มีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมเยือนน้อยมาก อาจจะเพราะความลำบากในการเดินทางและไม่ค่อยจะมีที่พักรับรองด้วยเนี่ยแหละครับ


มองจากมุมนี้เราจะสามารถเห็นรถไฟวิ่งผ่านด้วยนะ โคตรรรรจะมีเสน่ห์เลยให้ตายเถอะ !




นี่คือบ้านของโจนาธานครับ เป็นบ้านสไตล์ญี่ปุ่นแท้ๆ อยู่ท่ามกลางธรรมชาติและขุนเขา ผมเองยังอยากมาอยู่ที่นี่เลย

เออ ชิโยะบอกผมว่าตอนนี้นางเปิดร้านกาแฟอยู่ สร้างเสร็จประมาณ 80% แล้ว นางชอบทำอาหารครับ มื้อเช้าก็ได้นางช่วยไว้นี่แหละ หลังจากที่เราเดินเล่นกันเสร็จนางก็พาไปดูที่ร้านก่อนที่เราจะร่ำลากัน


ข้างนอกร้านดูไม่ค่อยออกครับ คงเพราะยังสร้างไม่เสร็จ แต่ภายในร้านดูดีเชียวละ ตกแต่งสไตล์ vintage เลย เสียดายที่ละแวกนั้นทำเลไม่ค่อยดี ใครที่มีโอกาสได้ไปเยี่ยมเยือนหมู่บ้านนี้ก็ลองแวะเข้ามาได้นะครับ อยู่ใกล้กับสถานีรถไฟเลย



เก็บภาพความประทับใจไว้ก่อนจากลากัน...ขอบอกเลยว่า การได้เจอพวกนางคือเรื่องราวที่ดีที่สุดในทริปญี่ปุ่นของผมเลย รู้สึกโชคดีมากที่ตัดสินใจใช้ Couchsurfing และได้เจอ Host ที่น่ารักแบบนี้ เหมือนทำให้เรารู้สึกว่าการมาญี่ปุ่นในครั้งนี้ไม่ได้มาเที่ยว แต่มาหาเพื่อน มาเจอคนรู้จักที่มีไลฟ์สไตล์คล้ายๆเรา ทำให้มันเป็นทริปที่พิเศษกว่าทริปไหนๆเลยหล่ะ


สถานีที่สามารถมายังหมู่บ้านนี้ได้ครับ Hakusui Kogen

จุดมุ่งหมายของวันนี้ คงหนีไม่พ้นการไปเหยียบ Mt. Aso ที่โด่งดังที่สุดในแถบนี้ คุณแม่ของโจนาธานได้เดินมาส่งพวกเราด้วยครับ น่ารักมากๆ และระหว่างที่รอรถไฟอยู่เราก็ได้เจอครอบครัวพ่อแม่ลูกคู่นึงฮะ เด็กน่ารักมากกกกก เราถามชื่อกับพ่อแม่ของน้องคนนี้ นางบอกว่าชื่อ ฮิจัง



ฮิจังน่ารักมากกกกกก ซนนนนนนนตามประสาเด็กๆ ว่าแล้วก็จัดไปซักฟอด 5555555


รถไฟมาแล้วววววว



ผมชอบรถไฟญี่ปุ่นมากเลยนะ คือแม้กระทั่ง Local train ยังดูมีเสน่เลยอะ ถ้าผมเป็นเด็กญี่ปุ่นยังรู้สึกอยากมาทำงานเป็นพนักงานขับรถไฟเลย มันดูเท่มาก

ถ้าประเทศเราสามารถสร้างเรื่องราวให้กับสิ่งต่างๆได้คงจะดีไม่น้อย


เรื่องที่น่าเสียดายที่สุดในการมาเที่ยว Aso คือการไม่ได้นั่ง Aso Boy นี่แหละฮะ แถมถูกตอกย้ำหัวใจโดยการที่รถไฟมาจอดเทียบกับรถไฟที่เรานั่งมาพอดีอีก น้ำตานี่แทบไหลพราก


มาถึงสถานี Aso แล้วครับ เรานั่งรถบัสต่อเพื่อที่จะขึ้นไปยังลานจอดข้างบนก่อนจะเดินเท้าไปดูภูเขาไฟอีกที

ระหว่างที่นั่งอยู่บนรถก็ได้เจอกับพี่คนไทย 2 คนครับ เราเลยตีสนิททันที หลายหัวเข้าไว้คงจะดีกว่า แถมเราบังเอิญเจอชาวแคนาดาคนนึงที่ไปเจอตอนไป Takachiho Gorge ด้วย เลยเหมารวมกลุ่มนางเข้ามาเป็น 5 หัว ไปแบบทัวร์ยกแก็งกันเลยทีเดียว

เออ ที่ Mt. Aso ขึ้นชื่อเรื่องอาหารสุดแปลกอย่างนึงครับ ใช้คำว่าหากินได้ที่นี่ที่เดียว บนยอดภูเขาไฟสูงๆเนี่ยแหละ.....มันคือเนื้อม้าครับ !!!! ใช่แล้วว ฟังไม่ผิด เนื้อม้าาา!!! ระหว่างทางเราก็เห็นเจ้าม้าหลายตัวตามไหล่เขา เพิ่งจะชมว่ามันน่ารักดีตัวอ้วนๆป้อมๆ ตอนนี้มันมาอยู่ตรงหน้าเราแบบเป็นชิ้นๆแทนแล้วครับ ! 555555555555555 ใครที่มาเยือนที่นี่ต้องลอง เราเลยจัดกันคนละไม้



ขอใช้คำว่า แซ่บหลายยยยยย !!!!! เนื้อเหนียวเหมือนเนื้อวัวแต่พอเคี้ยวแล้วมันกลับนุ่มเหลือเชื่อ คืออร่อยมากกกกกก ถ้าได้กินกับข้าวเหนียวนี่ตายตาหลับอะบอกเลย



ฟินกับเนื้อม้ากันจนอิ่มก็ได้เวลาออกไปหาเจ้า Mt. Aso กันซะที ไอที่มันพ่นๆควันอยู่ไกลๆนั่นแหละฮะ

Mt. Aso เป็นภูเขาไฟที่ยังไม่ดับที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นและเป็นหนึ่งใน largest active volcano ของโลกนี้เลยฮะ นอกจากนี้ Mt. Aso ยังมี caldera (หลุมปล่องภูเขาไฟขนาดใหญ่ที่เกิดจากการระเบิดแล้วยุบตัวลงกลายเป็นพื้นที่ราบ) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีขนาดเส้นรอบวงกว้างถึง 120 กิโลเมตร !!!!!!! แถมพื้นที่ตรงนั้นได้กลายเป็นที่พักอาศัยของชาวบ้านนับพัน หนึ่งในนั้นคือ Minami-Aso village ที่เราเคยไปพักนั่นเอง ! โอ้โหหห แค่ฟังก็ตื่นเต้นแล้ว ขนลุกออกมาเต้นบีบอยกันเลยทีเดียว

แต่ข่าวร้ายสุดๆของวันเลยก็คือว่า ช่วงที่ผมไป Mt. Aso เพิ่งจะปะทุควันออกมาทำให้กลายเป็นพื้นที่อันตรายไม่สามารถไปเดินใกล้ปากปล่องได้ เราจึงกัดฟันปาดน้ำตาทำได้แค่มองอยู่ที่ฝั่งนี้เท่านั้นฮะ



โฉมหน้าของผู้โชคดีที่ได้ไปทริปทัวร์ยกแก็งของเราในค่ำคืนนี้ฮะ ยินดีกับผู้โชคดีทั้ง 5 ท่านด้วยครับ




มุมถ่ายรูปเด็ดๆเยอะทีเดียว


ภูเขาที่ตั้งโดนเด่นอยู่ตรงนี้มีชื่อว่า Komezuka ฮะ เป็นหนึ่งในปล่องภูเขาไฟที่ดับไปแล้ว มีตำนานเล่าว่าพระเจ้าได้เอาเมล็ดข้าวมาสุมรวมกันเป็นภูเขาแล้วนำข้าวจากยอดเขาไปแจกจ่ายให้คนจนเลยทำให้ยอดเขามีลักษณะแบบนั้น เขาลูกนี้ไม่อนุญาตให้เดินขึ้นไปครับเพราะปัจจุบันถูกใช้เป็นพื้นที่เพาะปลูกแล้ว


เราเตรียมตัวกลับลงไปยังข้างล่างเพื่อให้ทันรอบรถไฟขากลับครับ ระหว่างทางก็ได้เห็นภาพของทุ่งนานับร้อยเรียงรายกันเป็นแถว หนึ่งในนั้นก็คงเป็นหมู่บ้านที่เราเคยไปอยู่แน่ๆ


ระหว่างทางกลับก็นั่งคิดถึงเรื่องราวที่ได้เจอมาในวันนี้ มันคือหนึ่งในความทรงจำที่ดีที่สุดของการมาเที่ยวญี่ปุ่นของผมจริงๆนะ ได้ทั้งเพื่อนใหม่ ทั้งประสบการณ์การเที่ยวแบบใหม่ ได้เจอมิตรภาพของคนที่เพิ่งจะเคยเจอกันครั้งแรกเยอะแยะ แค่คิดว่าวันรุ่งขึ้นจะไม่ได้เจอกับพวกเค้าแล้วน้ำตาก็แทบคลอ แต่เราได้บอกกับพวกเค้าไปแล้วว่าวันหนึ่งเราจะกลับมาหาพวกเค้าอีก ตอนนี้เราเป็นเพื่อนกันแล้วนะ และถ้ามีโอกาสพาพวกเค้าเที่ยวที่ไทย เราก็ยินดีเช่นกัน

จุดมุ่งหมายต่อไปของเราคือเมือง Beppu เมืองแห่งบ่อน้ำพุร้อนครับ เรามาถึง Beppu กันดึกพอสมควร คืนนั้นผมป่วยหนักแถมต้องเดินหาที่พักเองอีก กว่าจะเจอก็ก็เกือบเที่ยงคืน โชคดี Hostel ที่เราไปพักมีคนยกเลิกห้องพอดี เราจึงยึดครองห้องนั้นแบบไม่ต้องคิดอะไรมาก แถมมีฝรั่งมาฝึกงานอยู่ที่นั่นด้วยเลยคุยกันง่าย 

สำหรับวันรุ่งขึ้นเรื่องราวจะเป็นยังไง ติดตามได้ในตอนต่อไปได้เลยครับ


No comments:

Post a Comment