Das Leben ist einer Reise.

Das Leben ist einer Reise.
สวัสดี เราชื่อ มะกรูด

เราชอบเที่ยว ชอบถ่ายรูป ชอบคุยกับคนแปลกหน้า และชอบคนหน้าแปลก ชอบหัวเราะใส่หน้าคน ชอบอะไรก็ตามที่มันทำให้ยิ้มได้ และที่สำคัญ....เราชอบหลงทางงงงงงง !!!!

ท่านผู้อ่านทั้งหลายยยย ในเมื่อท่านพลัดหลงเข้ามาในบล็อกของผมแล้วก็อย่าจากไปมือเปล่าโดยไม่อ่านบันทึกเรื่องราวการเดินทางมันส์ๆสิ ถือซะว่าหลงทางมาเหนื่อยๆนั่งพักอ่านอะไรเพลินๆไปก็ได้นะ ไม่แน่ว่าบันทึกเหล่านี้ของผมอาจจะเป็นชนวนจุดไฟให้กับเท้าของคุณได้ออกเดินทางอีกครั้งนึงก็ได้

"การหลงทางไม่ใช่ความผิดพลาด แต่เป็นการเริ่มต้นสู้การเดินทางบทใหม่" นะจ๊ะ เพราะฉะนั้นแล้ว นั่งลง ตั้งสติ สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพร้อมผจญภัยไปกับผมได้เลยย !

Thursday, August 20, 2015

ระเบียงดาว.....ชีวิตที่มีแต่เขากับพวกเรา 3 4 คน

ทำงานหามรุ่งหามค่ำ ตื่นตี 5 นอน 5 ทุ่ม ใช้ชีวิตแบบวันชนวัน ความวุ่นวายในเมือง รถติด ผู้คนนับแสน เสียงแตรเสียงแตด ห่าเหวเยอะแยะไปหมด หงุดหงิด โมโห รำคาญ เหนื่อย ล้า เพลีย อ่อนแรง อยากพักผ่อน ! ไอบ้าเอ้ยยยยยย !! ........ โอเคร ใจเย็นๆ ค่อยๆตั้งสตินะ วางถุงกาวลง ผมเชื่อว่าหลายๆคนในเมืองกรุงกำลังประสบปัญหานี้...ห๊ะ แต่เดี๋ยวก่อน เพียงคุณโทรมาใน 5 นา ไม่ใช่ว้อยย ! 

หลายๆคนคงกำลังเบื่อหน่ายกับสภาพความเป็นอยู่ตอนนี้ของเมืองกรุงสุดวุ่นวาย แต่โบราณเค้าว่า มีสวรรค์ก็ต้องมีนรก  มีครกก็ต้องมีสาก พอคนเราเจอความวุ่นวายเข้ามากๆ ร่างกายมันก็ต้องการการพักผ่อน จึงทำให้เกิดสิ่งมหัศจรรย์ที่วัยสะรุ่นยุคดิจิตอลพูดกันติดปากอย่างกับหมากฝรั่งติดรองเท้า นั่นคือคำว่า "Slow life"  

ไอตัวผมเองจะว่าตอนนี้ใช้ชีวิตสโลวไลฟ์อยู่ก็ไม่เชิง เรียกว่าไม่มีเงินจนทำอะไรไม่ได้มากกว่า แต่มันก็ไม่ทำให้ร่างกายผมที่ต้องการการเดินทางมาหล่อเลี้ยงชีวิตต้องหยุดลงหรอก ยิ่งช่วงหลังๆมานี้ผมได้ยินสถานที่ที่ผู้คนที่แสวงหาความช้า ชีวิตที่เรื่อยเปื่อยกัน บ่อยมาก เค้าว่ากันว่าเป็นที่พักผ่อนสำหรับคนเมืองที่ดีงามไม่แพ้เตียงนอนที่บ้านเลยทีเดียว ผมและเพื่อนๆอีก 3 หน่อจึงตัดสินใจ ไปนอนเหยียดเท้ากันที่นั่น และมันคือ.....บ้านระเบียงดาว


จริงๆบทความนี้ผมอยากค่อยๆเขียนเอาซักเดือนละย่อหน้า ให้มันสมกับความเรื่อยเปื่อยของทริปเราซะหน่อย แต่พอคิดถึงบทความอื่นๆที่รออยู่ข้างหน้า.......โอเคร เรามารีบกันหน่อยละกัน

พวกเรา 4 หน่อนั่งรถทัวร์ตั้งแต่มืดค่ำของคืนท้ายเดือนพฤษภาคม ซึ่งแน่นอนว่าเป็นช่วงหน้าร้อนอันแสนภาคภูมิใจของคนไทยเรา และเมื่อมาท่ารถเชียงใหม่ เมืองไทยก็ไม่ทำให้เราผิดหวังครับ ความร้อนอยู่ในระดับที่ผมสามารถหยิบไข่ออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วกลายเป็นไข่ต้มได้ง่ายๆ (ไข่ไก่นะครับ)

พวกเราไม่รีรอ รีบบึ่งไปหารถตุ๊กตุ๊กที่อยู่ข้างหน้าเพื่อให้พี่เค้าไปส่งที่สถานทีขนส่งช้างเผือก เพื่อต่อรถประจำทางไปลงยังเชียงดาวอีกที




ความหลากหลายของผู้คนบนรถประจำทางค่อนข้างมากทีเดียวครับ ตอนที่พวกเรานั่งกันนี่ ฝรั่งโซนยุโรปก็มี แอฟริกาก็มี และคนเยอะมากๆถึงขั้นต้องยืนกันเลยหล่ะครับ


นั่งมาได้ซักพัก พี่กระเป๋ารถเมล์ก็บอกให้คนที่จะไปเชียงดาวลงตรงนี้ ซึ่งไอตรงนี้ของพี่เค้าก็ไม่รู้ว่าตรงไหน แต่พวกผมก็เหลือบไปเห็นรถเหลืองตามที่ได้ศึกษาเส้นทางมาพอดี แต่หารู้ไม่ พี่คนขับรถเหลืองเห็นพวกเราตั้งแต่อยู่บนรถประจำทางนานแล้ว ! พอเท้าเราใกล้แตะพื้น พวกนางก็ขับรถมาปาดหน้า พร้อมเปิดกระจกถามว่าไปบ้านระเบียงดาวใช่ไม๊..... นั่นแน๊ ! อ่านใจกุออกหราาาา

พวกเรายังตั้งสติได้อยู่ครับ ยังไม่คล้อยตามคำพูดของพี่เค้าง่ายๆ เราเลยถามพี่เค้าว่าค่ารถเท่าไหร่ นางตอบกลับมาว่า 600 ราคาทั่วไปเลย พวกผมทำท่าคิดอยู่นานและบอกพี่เค้าว่าเด๋วขอตัดสินใจอีกที....ทันใดนั้น เหมือนมีเสียงปริศนามาพูดในหัวสมองพี่เค้าหรือยังไงก็ไม่รู้ นางก็แอบกระซิบกับพวกเราว่า "งั้นถ้าน้องตัดสินใจได้เมื่อไหร่ โทรหาพี่นะ เด๋วลดให้พิเศษ แต่ต้องไปรอพี่อีกที่นึงนะ" ฮั่นแน่ ! เห็นกุหล่อละสิเลยใจอ่อนแบบนี้ พวกชั้นไม่โง่นะครับ !! เราจึงตัดสินใจโทรไปหาพี่เค้าทันที (อ้าวเห้ย !)



รอได้ซักพักพี่เค้าก็ขับมารับเราตามจุดนัดหมายฮะ รถค่อนข้างใหม่ หรูหราทีเดียว สีดำของกระโปรงรถนี่มันเงาวับเหมือนเพิ่งขัดมาใหม่ๆ........เอ่อออ ขอโทษครับ ผิดคัน


เส้นทางที่เราขึ้นไปห้อมล้อมไว้ด้วยต้นไม้เพียบเลยฮะ ทำให้เราไม่ค่อยเห็นอะไรภายนอกมากนัก ค่อนข้างตื่นเต้นกับสิ่งที่เราจะได้เห็นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า มันให้ความรู้สึกเหมือนกำลังออกรายการเกมโชว์แล้วพิธีกรจะทำเซอร์ไพรซ์ว่ามีแขกคนพิเศษมาร่วมรายการนี้ด้วยเลยนะ ขอบอกกกก

นั่งมาได้ครึ่งค่อนชั่วโมง ลุงคนขับก็มาจอดทิ้งเราลงที่หน้าซุ้มหลังคาสังกะสีโทรมๆหลังนึง ซึ่งมีคุณลุงเจ้าของที่พักมาต้อนรับพวกเราถึงที่ แต่สายตาพวกเราตอนนั้นไม่ได้สนใจคุณลุงเลยฮะ กล้องผมสั่นระริกระรัว เหมือนมันกำลังตื่นเต้นที่จะได้เอาภาพเบื้องหน้าผมมาใส่ในตัวมัน


เคยได้ยินเสียงลิง เสียงชะนีในสวนสัตว์ไม๊ครับ.....นั่นแหละฮะ เสียงผมในตอนนั้น

ผมหยุดที่จะร้องโหยหวนไม่ได้จริงๆครับ เพราะภาพข้างหน้ามันสวยมากกก อย่างกับในหนังงงง



ผมรีบเช็คอิน วางกระเป๋าในบ้านแล้วหยิบกล้องออกมายิงสาดกระสุนรัวๆ ไม่กุก็เมิงหล่ะวะที่ต้องตาย ! (ใจเย็นๆนะ)



ลูกสาวเจ้าของที่พักฮะ นางมีมาดของความน่ารัก ปะปนไปด้วยความน่ากลัวยังไงไม่รู้ 55555

แต่พอขอนางถ่ายรูป นางก็ไม่เคอะเขิล พร้อมสาดท่วงท่าอารมณ์ออกมาประดั่งนางแบบวิคตอเรียซีเคร็ดก็ไม่ปาน


แต่เดี๋ยวจะหาว่าลำเอียง พวกผมก็ไม่ยอมน้อยหน้า พกนางแบบระดับ Thailand's Top model มาประชันกับธรรมชาติแห่งนี้ด้วย เป็นไงกันละครับ อึ้งกันเลยทีเดียว (กูก็อึ้ง)



อากาศข้างบนไม่หนาวเลยครับ แต่ก็ไม่ร้อนเกินไป สามารถอยู่ได้โดยไม่ใช้พัดลม ซึ่งคาดว่าหน้าฝน หรือหน้าหนาวคงจะฟินกว่านี้แน่ๆ

คุณลุงเจ้าของบอกกับพวกเราว่า ที่บ้านระเบียงดาวมีคนจองเต็มตลอดทั้งปีเลยทีเดียว



อย่างที่บอกว่าที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องสโลว์ไลฟ์มากครับ นอกจากนั่งชมวิวแล้ว.......ผมหาอย่างอื่นทำไม่ได้เลยครับ 555555555555

ผมกับเพื่อนเลยตัดสินใจลงไปถ่ายรูปข้างล่างกัน



จริงๆถ้าเป็นช่วงที่ชาวบ้านทำเกษตรกัน พื้นที่ตรงนี้จะเต็มไปด้วยต้นข้าวสีทองอร่ามเลยหล่ะฮะ แค่ผมนึกภาพตามก็น้ำลายไหลแล้ว



มุมมองของบ้านระเบียงดาวจากด้านล่างฮะ แปลกตาดีเหมือนกัน


ครอบครัวคนว่าน่ารักแล้ว  ครอบครัวไก่ก็ไม่ยอมแพ้ฮะ มากันทั้งตระกูล พอพวกมันเห็นผมเดินมาพร้อมกล้องถึงกับรีบวิ่งไปรวมตัวกันประหนึ่งส่งความเป็นนัยๆว่า "ถ่ายรูปครอบครัวให้หน่อยสิแกร"



กลางค่ำกลางคืนก็บางคนก็จะจุดเทียนตั้งวงเล่นไพ่ ร้องเพลง พี้ยา (อันหลังไม่น่ามี) กันสนุกสนานครับ เป็นรายการบันเทิงท่ามกลางหุบเขาที่แค่ฟังก็สนุกแล้ว


และแน่นอนว่ามาถึงที่หมายแล้วก็ต้องปฏิบัติภารกิจที่เราตั้งใจไว้แต่แรกให้สำเร็จ...นั่นคือการนอนเหยียดขาสูดหายใจเข้า ออกช้าๆ พร้อมอิ่มเอมไปกับภาพข้างหน้า ...... ห๊าววววววววว แค่คิดตามก็อยากจะนอนมันตรงนี้เลยหล่ะฮะ


ช่วงบ่ายแก่ๆฝนเริ่มตกหนักขึ้น หนักขึ้น แต่มันทำให้อากาศเย็นขึ้นเยอะเลยฮะ


พวกเราได้พักบ้านพิมสาย ซึ่งมีวิวข้างหน้าโล้งโจ้ง เห็นภูเขาชัดเจน บ้านใหญ่พอสมควร ไปกัน 4 คนเหลือๆเลยฮะ ทางที่พักมีมุ้งให้พร้อม ไม่ต้องกลัวแมลง ยุง จะเข้ามาไต่ตอมเราได้ แต่ถ้ามีคนจะเข้ามาไต่ตอมเรานั่นก็เป็นอีกเรื่องนึง (อร๊างงงงค์)


บอกเลยว่าพระเอกของวันนี้โดนถ่ายจนช้ำฮะ วิวจริงๆมันสวยมากเลยนะ ยิ่งพอฝนหยุดตกมีหมอกลอยมาสัมผัสยอดเขาเบาๆ โอ้ยยยยยตาย อยากจะวิ่งเข้าไปกอดจูบลูบคล้ำ


เราเสียเงินไป 500 บาทให้กับที่พัก แต่ที่นี่เค้าจะจัดอาหารมาให้เรามื้อเย็นโดยเฉพาะด้วยครับ อาหารก็รสชาติเหมือนกินในเมือง แต่ที่เติมรสชาติให้อร่อยสุดๆคงเป็นบรรยากาศรอบๆเนี่ยแหละ

อ่อ ที่นี่เค้ามีน้ำพริกสูตรพิเศษที่เค้าทำขึ้นมาเองด้วยฮะ บอกตงว่าโคตรรรรรรอร่อย !


พวกเราทิ้งตัวปล่อยเวลาให้ไหลไปกับสายลมที่ผ่านไปมา พอตกดึกก็เล่นดนตรีคลอๆให้เพื่อนบ้านที่มาพักได้ยินด้วย (จริงๆกลัวเค้ารำคาญ แต่เห็นว่าคุยกันเสียงดังกว่าเราอีก 5555)

อากาศตอนกลางคืนค่อนข้างหนาวเลยหล่ะครับ นอนห่มผ้าหลับสบายกว่าอยู่บ้านอีก



ใครที่ไม่เคยลิ้มรสอากาศยามเช้า พระอาทิตย์ค่อยๆขึ้นแต่งเติมสีสันให้ท้องฟ้า พร้อมน้ำชาหรือกาแฟร้อนๆให้จิบเบาๆ ข้าวต้มที่เพิ่งยกออกจากเตาเอาไว้ให้ซดน้ำซุปกระดูกหมูอร่อยๆ เป็นเมนูที่เรียบง่ายแต่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง ปลุกความเป็นชายในตัวผมได้ดีทีเดียวเชียวละแม่เอ้ย





วิวอมตะสำหรับบ้านระเบียงดาวแห่งนี้ครับ ใครไม่ได้ถ่ายถือว่ายังมาไม่ถึง กรุณาลงจากเขาแล้วขึ้นมาใหม่อีก 15 รอบ ปฏิบัติ !



ด้วยความสามารถระดับนางแบบ นายแบบประจำคณะ พวกเราจึงสามารถดึงท่วงท่าจากเบื้องลึกสุดของอารมณ์มาได้อย่างงดงาม ภูเขาที่ว่าสง่า ก็ต้องพลาดท่าเมื่อเจอพวกเรา 4 คน


ขากลับคุณลุงเจ้าของที่พักเดินมาบอกกับเราว่าจะลงไปส่งถึงข้างล่างเลย ฟรี ! ฮั่นน๊ออ ท้าทายความหนาของหน้าพวกเราเกินไปแล้วว พวกเราตอบตกลงตั้งแต่คุณลุงทำท่าจะเดินมาหาแล้วละครับบบ

บอกเลยว่าทริปนี้เป็นทริปที่ชิวที่สุดของผมเลยนะ เพราะมันไม่ได้ทำอะไรจริงๆเลยนั่นแหละ แต่ด้วยความที่ไม่มีอะไรให้ทำ มันเลยได้ใช้เวลากับตัวเองเยอะแยะมากมาย แถมยังได้พูดคุยกะเพื่อนอีก 3 หน่อด้วย แม้เราจะสนิทกันแต่บางช่วงเวลาเราไม่มีโอกาสได้เปิดใจพูดคุยกันมากขนาดนี้เนอะ บางทีไอคำว่า Slow life มันอาจจะหมายถึงให้เราหยุดสิ่งเร้ารอบตัวเพื่อหันมาสนใจคนรอบข้างมากขึ้นก็ได้นะ (แอร๊ยยยยย คมสลัดผัดกระเพรา)

ใครอยากจะมาพักผ่อนไกลๆ แต่ไม่ต้องมีแพลนอะไรเยอะแยะ ใช้เวลาแค่ 2-3 วัน ผมอยากให้เก็บที่นี่ไว้เป็นตัวเลือกครับ รับรองว่าคุณๆจะไม่ผิดหวังเลยหล่ะ 

ก่อนจากกันก็ขอลาไปด้วยภาพที่นิมมานต์ระหว่างที่พวกเรารอรถกลับตอนเย็นละกันครับ






รอติดตามการหลงทางครั้งใหม่ของผมด้วยนะ สำหรับวันนี้ ราตรีสวัสดิ์ครับ พี่น้องชาวไทย ทุกท่าน...

อยากพักผ่อนต้องมาบ้านระเบียงดาว....อยากเป็นเจ้าสาวต้องมาบ้านผม #มะกรูดคนคม

29 - 31/05/2015