ทำงานหามรุ่งหามค่ำ ตื่นตี 5 นอน 5 ทุ่ม ใช้ชีวิตแบบวันชนวัน ความวุ่นวายในเมือง รถติด ผู้คนนับแสน เสียงแตรเสียงแตด ห่าเหวเยอะแยะไปหมด หงุดหงิด โมโห รำคาญ เหนื่อย ล้า เพลีย อ่อนแรง อยากพักผ่อน ! ไอบ้าเอ้ยยยยยย !! ........ โอเคร ใจเย็นๆ ค่อยๆตั้งสตินะ วางถุงกาวลง ผมเชื่อว่าหลายๆคนในเมืองกรุงกำลังประสบปัญหานี้...ห๊ะ แต่เดี๋ยวก่อน เพียงคุณโทรมาใน 5 นา ไม่ใช่ว้อยย !
หลายๆคนคงกำลังเบื่อหน่ายกับสภาพความเป็นอยู่ตอนนี้ของเมืองกรุงสุดวุ่นวาย แต่โบราณเค้าว่า มีสวรรค์ก็ต้องมีนรก มีครกก็ต้องมีสาก พอคนเราเจอความวุ่นวายเข้ามากๆ ร่างกายมันก็ต้องการการพักผ่อน จึงทำให้เกิดสิ่งมหัศจรรย์ที่วัยสะรุ่นยุคดิจิตอลพูดกันติดปากอย่างกับหมากฝรั่งติดรองเท้า นั่นคือคำว่า "Slow life"
ไอตัวผมเองจะว่าตอนนี้ใช้ชีวิตสโลวไลฟ์อยู่ก็ไม่เชิง เรียกว่าไม่มีเงินจนทำอะไรไม่ได้มากกว่า แต่มันก็ไม่ทำให้ร่างกายผมที่ต้องการการเดินทางมาหล่อเลี้ยงชีวิตต้องหยุดลงหรอก ยิ่งช่วงหลังๆมานี้ผมได้ยินสถานที่ที่ผู้คนที่แสวงหาความช้า ชีวิตที่เรื่อยเปื่อยกัน บ่อยมาก เค้าว่ากันว่าเป็นที่พักผ่อนสำหรับคนเมืองที่ดีงามไม่แพ้เตียงนอนที่บ้านเลยทีเดียว ผมและเพื่อนๆอีก 3 หน่อจึงตัดสินใจ ไปนอนเหยียดเท้ากันที่นั่น และมันคือ.....บ้านระเบียงดาว
จริงๆบทความนี้ผมอยากค่อยๆเขียนเอาซักเดือนละย่อหน้า ให้มันสมกับความเรื่อยเปื่อยของทริปเราซะหน่อย แต่พอคิดถึงบทความอื่นๆที่รออยู่ข้างหน้า.......โอเคร เรามารีบกันหน่อยละกัน
พวกเรา 4 หน่อนั่งรถทัวร์ตั้งแต่มืดค่ำของคืนท้ายเดือนพฤษภาคม ซึ่งแน่นอนว่าเป็นช่วงหน้าร้อนอันแสนภาคภูมิใจของคนไทยเรา และเมื่อมาท่ารถเชียงใหม่ เมืองไทยก็ไม่ทำให้เราผิดหวังครับ ความร้อนอยู่ในระดับที่ผมสามารถหยิบไข่ออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วกลายเป็นไข่ต้มได้ง่ายๆ (ไข่ไก่นะครับ)
พวกเราไม่รีรอ รีบบึ่งไปหารถตุ๊กตุ๊กที่อยู่ข้างหน้าเพื่อให้พี่เค้าไปส่งที่สถานทีขนส่งช้างเผือก เพื่อต่อรถประจำทางไปลงยังเชียงดาวอีกที
ความหลากหลายของผู้คนบนรถประจำทางค่อนข้างมากทีเดียวครับ ตอนที่พวกเรานั่งกันนี่ ฝรั่งโซนยุโรปก็มี แอฟริกาก็มี และคนเยอะมากๆถึงขั้นต้องยืนกันเลยหล่ะครับ
นั่งมาได้ซักพัก พี่กระเป๋ารถเมล์ก็บอกให้คนที่จะไปเชียงดาวลงตรงนี้ ซึ่งไอตรงนี้ของพี่เค้าก็ไม่รู้ว่าตรงไหน แต่พวกผมก็เหลือบไปเห็นรถเหลืองตามที่ได้ศึกษาเส้นทางมาพอดี แต่หารู้ไม่ พี่คนขับรถเหลืองเห็นพวกเราตั้งแต่อยู่บนรถประจำทางนานแล้ว ! พอเท้าเราใกล้แตะพื้น พวกนางก็ขับรถมาปาดหน้า พร้อมเปิดกระจกถามว่าไปบ้านระเบียงดาวใช่ไม๊..... นั่นแน๊ ! อ่านใจกุออกหราาาา
พวกเรายังตั้งสติได้อยู่ครับ ยังไม่คล้อยตามคำพูดของพี่เค้าง่ายๆ เราเลยถามพี่เค้าว่าค่ารถเท่าไหร่ นางตอบกลับมาว่า 600 ราคาทั่วไปเลย พวกผมทำท่าคิดอยู่นานและบอกพี่เค้าว่าเด๋วขอตัดสินใจอีกที....ทันใดนั้น เหมือนมีเสียงปริศนามาพูดในหัวสมองพี่เค้าหรือยังไงก็ไม่รู้ นางก็แอบกระซิบกับพวกเราว่า "งั้นถ้าน้องตัดสินใจได้เมื่อไหร่ โทรหาพี่นะ เด๋วลดให้พิเศษ แต่ต้องไปรอพี่อีกที่นึงนะ" ฮั่นแน่ ! เห็นกุหล่อละสิเลยใจอ่อนแบบนี้ พวกชั้นไม่โง่นะครับ !! เราจึงตัดสินใจโทรไปหาพี่เค้าทันที (อ้าวเห้ย !)
รอได้ซักพักพี่เค้าก็ขับมารับเราตามจุดนัดหมายฮะ รถค่อนข้างใหม่ หรูหราทีเดียว สีดำของกระโปรงรถนี่มันเงาวับเหมือนเพิ่งขัดมาใหม่ๆ........เอ่อออ ขอโทษครับ ผิดคัน
เส้นทางที่เราขึ้นไปห้อมล้อมไว้ด้วยต้นไม้เพียบเลยฮะ ทำให้เราไม่ค่อยเห็นอะไรภายนอกมากนัก ค่อนข้างตื่นเต้นกับสิ่งที่เราจะได้เห็นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า มันให้ความรู้สึกเหมือนกำลังออกรายการเกมโชว์แล้วพิธีกรจะทำเซอร์ไพรซ์ว่ามีแขกคนพิเศษมาร่วมรายการนี้ด้วยเลยนะ ขอบอกกกก
นั่งมาได้ครึ่งค่อนชั่วโมง ลุงคนขับก็มาจอดทิ้งเราลงที่หน้าซุ้มหลังคาสังกะสีโทรมๆหลังนึง ซึ่งมีคุณลุงเจ้าของที่พักมาต้อนรับพวกเราถึงที่ แต่สายตาพวกเราตอนนั้นไม่ได้สนใจคุณลุงเลยฮะ กล้องผมสั่นระริกระรัว เหมือนมันกำลังตื่นเต้นที่จะได้เอาภาพเบื้องหน้าผมมาใส่ในตัวมัน
เคยได้ยินเสียงลิง เสียงชะนีในสวนสัตว์ไม๊ครับ.....นั่นแหละฮะ เสียงผมในตอนนั้น
ผมหยุดที่จะร้องโหยหวนไม่ได้จริงๆครับ เพราะภาพข้างหน้ามันสวยมากกก อย่างกับในหนังงงง
ผมรีบเช็คอิน วางกระเป๋าในบ้านแล้วหยิบกล้องออกมายิงสาดกระสุนรัวๆ ไม่กุก็เมิงหล่ะวะที่ต้องตาย ! (ใจเย็นๆนะ)
ลูกสาวเจ้าของที่พักฮะ นางมีมาดของความน่ารัก ปะปนไปด้วยความน่ากลัวยังไงไม่รู้ 55555
แต่พอขอนางถ่ายรูป นางก็ไม่เคอะเขิล พร้อมสาดท่วงท่าอารมณ์ออกมาประดั่งนางแบบวิคตอเรียซีเคร็ดก็ไม่ปาน
แต่เดี๋ยวจะหาว่าลำเอียง พวกผมก็ไม่ยอมน้อยหน้า พกนางแบบระดับ Thailand's Top model มาประชันกับธรรมชาติแห่งนี้ด้วย เป็นไงกันละครับ อึ้งกันเลยทีเดียว (กูก็อึ้ง)
อากาศข้างบนไม่หนาวเลยครับ แต่ก็ไม่ร้อนเกินไป สามารถอยู่ได้โดยไม่ใช้พัดลม ซึ่งคาดว่าหน้าฝน หรือหน้าหนาวคงจะฟินกว่านี้แน่ๆ
คุณลุงเจ้าของบอกกับพวกเราว่า ที่บ้านระเบียงดาวมีคนจองเต็มตลอดทั้งปีเลยทีเดียว
อย่างที่บอกว่าที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องสโลว์ไลฟ์มากครับ นอกจากนั่งชมวิวแล้ว.......ผมหาอย่างอื่นทำไม่ได้เลยครับ 555555555555
ผมกับเพื่อนเลยตัดสินใจลงไปถ่ายรูปข้างล่างกัน
จริงๆถ้าเป็นช่วงที่ชาวบ้านทำเกษตรกัน พื้นที่ตรงนี้จะเต็มไปด้วยต้นข้าวสีทองอร่ามเลยหล่ะฮะ แค่ผมนึกภาพตามก็น้ำลายไหลแล้ว
มุมมองของบ้านระเบียงดาวจากด้านล่างฮะ แปลกตาดีเหมือนกัน
ครอบครัวคนว่าน่ารักแล้ว ครอบครัวไก่ก็ไม่ยอมแพ้ฮะ มากันทั้งตระกูล พอพวกมันเห็นผมเดินมาพร้อมกล้องถึงกับรีบวิ่งไปรวมตัวกันประหนึ่งส่งความเป็นนัยๆว่า "ถ่ายรูปครอบครัวให้หน่อยสิแกร"
กลางค่ำกลางคืนก็บางคนก็จะจุดเทียนตั้งวงเล่นไพ่ ร้องเพลง พี้ยา (อันหลังไม่น่ามี) กันสนุกสนานครับ เป็นรายการบันเทิงท่ามกลางหุบเขาที่แค่ฟังก็สนุกแล้ว
และแน่นอนว่ามาถึงที่หมายแล้วก็ต้องปฏิบัติภารกิจที่เราตั้งใจไว้แต่แรกให้สำเร็จ...นั่นคือการนอนเหยียดขาสูดหายใจเข้า ออกช้าๆ พร้อมอิ่มเอมไปกับภาพข้างหน้า ...... ห๊าววววววววว แค่คิดตามก็อยากจะนอนมันตรงนี้เลยหล่ะฮะ
ช่วงบ่ายแก่ๆฝนเริ่มตกหนักขึ้น หนักขึ้น แต่มันทำให้อากาศเย็นขึ้นเยอะเลยฮะ
พวกเราได้พักบ้านพิมสาย ซึ่งมีวิวข้างหน้าโล้งโจ้ง เห็นภูเขาชัดเจน บ้านใหญ่พอสมควร ไปกัน 4 คนเหลือๆเลยฮะ ทางที่พักมีมุ้งให้พร้อม ไม่ต้องกลัวแมลง ยุง จะเข้ามาไต่ตอมเราได้ แต่ถ้ามีคนจะเข้ามาไต่ตอมเรานั่นก็เป็นอีกเรื่องนึง (อร๊างงงงค์)
บอกเลยว่าพระเอกของวันนี้โดนถ่ายจนช้ำฮะ วิวจริงๆมันสวยมากเลยนะ ยิ่งพอฝนหยุดตกมีหมอกลอยมาสัมผัสยอดเขาเบาๆ โอ้ยยยยยตาย อยากจะวิ่งเข้าไปกอดจูบลูบคล้ำ
เราเสียเงินไป 500 บาทให้กับที่พัก แต่ที่นี่เค้าจะจัดอาหารมาให้เรามื้อเย็นโดยเฉพาะด้วยครับ อาหารก็รสชาติเหมือนกินในเมือง แต่ที่เติมรสชาติให้อร่อยสุดๆคงเป็นบรรยากาศรอบๆเนี่ยแหละ
อ่อ ที่นี่เค้ามีน้ำพริกสูตรพิเศษที่เค้าทำขึ้นมาเองด้วยฮะ บอกตงว่าโคตรรรรรรอร่อย !
พวกเราทิ้งตัวปล่อยเวลาให้ไหลไปกับสายลมที่ผ่านไปมา พอตกดึกก็เล่นดนตรีคลอๆให้เพื่อนบ้านที่มาพักได้ยินด้วย (จริงๆกลัวเค้ารำคาญ แต่เห็นว่าคุยกันเสียงดังกว่าเราอีก 5555)
อากาศตอนกลางคืนค่อนข้างหนาวเลยหล่ะครับ นอนห่มผ้าหลับสบายกว่าอยู่บ้านอีก
ใครที่ไม่เคยลิ้มรสอากาศยามเช้า พระอาทิตย์ค่อยๆขึ้นแต่งเติมสีสันให้ท้องฟ้า พร้อมน้ำชาหรือกาแฟร้อนๆให้จิบเบาๆ ข้าวต้มที่เพิ่งยกออกจากเตาเอาไว้ให้ซดน้ำซุปกระดูกหมูอร่อยๆ เป็นเมนูที่เรียบง่ายแต่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง ปลุกความเป็นชายในตัวผมได้ดีทีเดียวเชียวละแม่เอ้ย
วิวอมตะสำหรับบ้านระเบียงดาวแห่งนี้ครับ ใครไม่ได้ถ่ายถือว่ายังมาไม่ถึง กรุณาลงจากเขาแล้วขึ้นมาใหม่อีก 15 รอบ ปฏิบัติ !
ด้วยความสามารถระดับนางแบบ นายแบบประจำคณะ พวกเราจึงสามารถดึงท่วงท่าจากเบื้องลึกสุดของอารมณ์มาได้อย่างงดงาม ภูเขาที่ว่าสง่า ก็ต้องพลาดท่าเมื่อเจอพวกเรา 4 คน
ขากลับคุณลุงเจ้าของที่พักเดินมาบอกกับเราว่าจะลงไปส่งถึงข้างล่างเลย ฟรี ! ฮั่นน๊ออ ท้าทายความหนาของหน้าพวกเราเกินไปแล้วว พวกเราตอบตกลงตั้งแต่คุณลุงทำท่าจะเดินมาหาแล้วละครับบบ
บอกเลยว่าทริปนี้เป็นทริปที่ชิวที่สุดของผมเลยนะ เพราะมันไม่ได้ทำอะไรจริงๆเลยนั่นแหละ แต่ด้วยความที่ไม่มีอะไรให้ทำ มันเลยได้ใช้เวลากับตัวเองเยอะแยะมากมาย แถมยังได้พูดคุยกะเพื่อนอีก 3 หน่อด้วย แม้เราจะสนิทกันแต่บางช่วงเวลาเราไม่มีโอกาสได้เปิดใจพูดคุยกันมากขนาดนี้เนอะ บางทีไอคำว่า Slow life มันอาจจะหมายถึงให้เราหยุดสิ่งเร้ารอบตัวเพื่อหันมาสนใจคนรอบข้างมากขึ้นก็ได้นะ (แอร๊ยยยยย คมสลัดผัดกระเพรา)
ใครอยากจะมาพักผ่อนไกลๆ แต่ไม่ต้องมีแพลนอะไรเยอะแยะ ใช้เวลาแค่ 2-3 วัน ผมอยากให้เก็บที่นี่ไว้เป็นตัวเลือกครับ รับรองว่าคุณๆจะไม่ผิดหวังเลยหล่ะ
ก่อนจากกันก็ขอลาไปด้วยภาพที่นิมมานต์ระหว่างที่พวกเรารอรถกลับตอนเย็นละกันครับ
รอติดตามการหลงทางครั้งใหม่ของผมด้วยนะ สำหรับวันนี้ ราตรีสวัสดิ์ครับ พี่น้องชาวไทย ทุกท่าน...
อยากพักผ่อนต้องมาบ้านระเบียงดาว....อยากเป็นเจ้าสาวต้องมาบ้านผม #มะกรูดคนคม
29 - 31/05/2015
No comments:
Post a Comment