Das Leben ist einer Reise.

Das Leben ist einer Reise.
สวัสดี เราชื่อ มะกรูด

เราชอบเที่ยว ชอบถ่ายรูป ชอบคุยกับคนแปลกหน้า และชอบคนหน้าแปลก ชอบหัวเราะใส่หน้าคน ชอบอะไรก็ตามที่มันทำให้ยิ้มได้ และที่สำคัญ....เราชอบหลงทางงงงงงง !!!!

ท่านผู้อ่านทั้งหลายยยย ในเมื่อท่านพลัดหลงเข้ามาในบล็อกของผมแล้วก็อย่าจากไปมือเปล่าโดยไม่อ่านบันทึกเรื่องราวการเดินทางมันส์ๆสิ ถือซะว่าหลงทางมาเหนื่อยๆนั่งพักอ่านอะไรเพลินๆไปก็ได้นะ ไม่แน่ว่าบันทึกเหล่านี้ของผมอาจจะเป็นชนวนจุดไฟให้กับเท้าของคุณได้ออกเดินทางอีกครั้งนึงก็ได้

"การหลงทางไม่ใช่ความผิดพลาด แต่เป็นการเริ่มต้นสู้การเดินทางบทใหม่" นะจ๊ะ เพราะฉะนั้นแล้ว นั่งลง ตั้งสติ สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพร้อมผจญภัยไปกับผมได้เลยย !

Sunday, May 24, 2015

เที่ยวข้ามปี ต้องมี 2 ประเทศ! [ภาค2]....ใครบอกว่าลาวไม่มีทะเล !?

ใครที่พลาด [ภาค1] ไป สามารถตามอ่านได่ที่ลิ้งค์ด้านล่างเลยฮะ


ไปทะเลลาวกัน........ห๊ะ! มะกี้ว่าอะไรนะ? ทะเล?...ที่ลาว?? นี่คิดว่าชั้นโง่หรืออัลไลลลลล!!! ใครมันจะไปเชื่อละครับว่าที่ลาว ประเทศซึ่งถูกล้อมรอบไว้ด้วยประเทศเพื่อนบ้านครบทุกตารางนิ้วจะมีทะเลให้เห็นกันด้วย จะบอกว่าแม่น้ำโขงมันก็ไม่ใช่ แล้วสถานที่แบบไหนกันถึงถูกเรียกว่าเป็น "ทะเลเมืองลาว" ได้...

ผมหาข้อมูลสถานที่แห่งนี้ซึ่งมีไม่ค่อยมากนัก แล้วเกิดความรู้สึกสนใจขึ้นมาปริ่มๆ เนื่องจากข้อมูลที่ยังไม่เยอะมากเนี่ยแหละ มันเลยน่าจะมีอะไรให้ค้นหาอีกเยอะ ผมเลยตัดสินใจกับเพื่อนๆว่า เราจะไปลุยที่นี่กัน สถานที่แห่งนั้นคือ....เขื่อนน้ำงืม....(ตอนแรกนึกว่าเป็นคำอุทาน เลยยังไม่เชื่อว่าชื่อนี้จริงๆ 5555555)


เราตื่นกันแต่เช้าเพื่อรีบไปที่ท่ารถตรงตลาดเช้าในตัวเมืองเวียงจันทน์ เราสอบถามพนักงานที่โรงแรมเรื่องการเดินทาง เค้าบอกมาว่าสามารถนั่งรถประจำทางได้เลย ระยะทางจากตัวเมืองถึงเขื่อนประมาณ 90 กิโล ถ้าเป็นที่ไทยคงใช้เวลาประมาณชั่วโมงก็ถึง แต่อย่าลืมว่าคนที่นี่ขับรถไม่เกิน 80 ก.ม./ช.ม. เราเลยกะเวลาไว้ล่วงหน้าอีกประมาณชั่วโมงนึงฮะ

เมื่อไปถึงท่ารถ เราก็พบกับข่าวร้ายยิ่งกว่าตัวร้ายในละครช่อง 7 ว่าไม่มีรถประจำทางไปเขื่อนแล้ว !! ต้องเหมารถไปเท่านั้นเนื่องจากเส้นทางไปลำบาก...ณ ตอนนั้นกระเป๋าตังสั่นระดับ 8 ริกเตอร์เลยฮะ เพราะนั่งรถประจำทางไม่ถึง 100 บาทต่อคนแน่ๆ ถ้าเราเหมาเราคงต้องจ่ายหลักพัน ! แต่เราตั้งใจแล้วว่าจะไปที่นี่จริงๆ สุดท้ายเราก็ต่อรองมาในราคา 2500 บาทครับ (ตกคนละ 600 นิดๆ)


เรามาถึงที่เขื่อนประมาณ 11 โมง ใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมงเห็นจะได้ ฉากเบื้องหน้าที่เราเห็นทำให้เรารู้สึกขนลุกขึ้นมาหน่อยๆเลยฮะ เพราะว่าเขื่อนน้ำงืมนี้มันช่างกว้างใหญ่มากกกกกกกกกกกกกก!!! มองจนสุดปลายฟ้าก็เห็นแต่น้ำ มีเกาะเล็กเกาะน้อยโผล่มาหน่อยๆ น้ำสีเขียว ท้องฟ้าสีฟ้า........นี่มันทะเลชัดๆ !! ผมเชื่อแล้วฮะ ว่านี่มันคือ ทะเลเมืองลาว อย่างที่เค้าว่าจริงๆ...

เอ้ยย ! ลืมบอกไปว่า ระหว่างทางที่เราผ่านมาลำบากจริงๆครับ ทางเป็นหลุมเป็นบ่อเยอะมาก แต่ที่หนักสุดเลยคือฝุ่นจากดินแดงครับ (อยู่แถวๆเส้น วิภาวดี ทุ้ยยย!!) คือฝุ่นตามถนนมันคลุ้งกระจายเต็มไปหมด บ้านเรือน ต้นไม้ เสา สิ่งปลูกสร้าง หรือแม้แต่คนแถวนั้นถูกห่อหุ้มไว้ด้วยฝุ่นจนเป็นสีแดงเลยฮะ นึกภาพถ้าเราต้องนั่งรถประจำทางได้เลยว่าจะออกมาสภาพแบบไหน


เขื่อนแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าใช้ในนครหลวงเวียงจันทน์ฮะ และยังเหลือพอที่จะส่งมาขายให้ทางฝั่งไทยอีกด้วย ขนาดพื้นที่ป่าที่ใช้สร้างเขื่อนนี้คือประมาณ 250 ตารางกิโลเมตร ! ใหญ่มากกกกกกก



เรือที่เราโดยสารมาเป็นเรือยาวฮะ มีแพคเก็จข้าวกลางวันให้ด้วย จริงๆมีเรือพร้อมคาราโอเกะ เรือสองชั้น เรือพาย เรือจูง เรือพร้อมเด็กนั่งดริ้งค์ !? นี่ถ้าเรือยอชมาได้คงมีให้เห็นกันแล้ว 

พวกเราเลยเก็บบรรยากาศให้ชมกันแบบสดๆ Video conference กันแบบคมชัดระดับ HD เลยทีเดียว ถ้าพร้อมชมแล้ว.....ลุยยยยย



ในคลิปเราแอบพูดผิดไปนิดนึง จริงๆ กุ้ยหลินเมืองลาว อยู่ที่วังเวียงนะฮะ ไม่ใช่ที่นี่ แต่ทะเลเมืองลาวยังใช่อยู่นะ 5555555555



เราแวะพักที่เกาะนึง ซึ่งเป็นเกาะหลักที่เรือจะจอดให้นักท่องเที่ยวเยี่ยมชมกันครับ ที่นี่มีจุดถ่ายรูปเยอะมากกกกกก เพราะมันเห็นทั้งเนินหินและพื้นที่ทอดลงไปในน้ำ ดินสีส้มแปร๊ดดด สวยงามฝุดๆ

เพื่อความฟินระดับ 8 พวกผมจึงได้จ้าง Hollywood มาถ่ายทำบรรยากาศให้อีกรอบครับ เชิญรับชม


ขอบอกว่าควรชมเพราะมีคำแนะนำเล็กๆน้อยๆให้กับนักท่องเที่ยวทุกคนด้วยฮะ 


ว่าแล้วก็จัดให้ชมซักภาพ มุมที่พวกผมคิดว่าสวยที่สุดบนเกาะนี้


ใช้เวลาไปซักพักก็เริ่มนั่งเรือแล่นกันต่อ เจ้าของเรือบอกว่าเราสามารถนั่งเรือชมรอบเขื่อนได้ภายใน 2 ชั่วโมงฮะ เลยต้องทำเวลากันหน่อย


ภาพระหว่างทางก็ไม่ใช่เล่นๆนะจ๊ะ มองไปทางไหนก็สวย


ถ้าเธอเหงา ห้องเราชั้น 3 นะ มาทางซ้ายมือ (เดี๋ยวๆๆ !)


พี่คนขับพาเรามาปล่อยลงอีกจุดนึง ตรงนี้เป็นหอคอยดูวิวรอบๆเขื่อนครับ เห็นได้ 360 องศาเลย แถมชั้นที่ 2 ยังมีชาวบ้านมาตั้งของขาย Handmade อีกด้วยนะ

ถ้ายังนึกภาพไม่ออก เรามีอีกคลิปมาให้โช๊มมมมมมม



ในเมื่อข้างบนมันโล่งขนาดนี้ จะให้พวกชั้นยืนถ่ายธรรมดากันได้อย่างไร !? เราเลยให้ตีมถ่ายรูปว่า บอย หมาก เคน มาริโอ้....ภาพเลยออกมาเป็นแบบนี้ฮะ



ขากลับเราขอนั่งบนหลังคาเรือท้าลมซะหน่อย ถามว่ากลัวตายไม๊ พูดตรงๆว่า กลัว !! 555555555555 แต่ฟินไม่ใช่น้อยฮะ แนะนำสำหรับคนที่ได้มาเยือนให้ลองนั่งดู :)

ทริปนี้คลิปเยอะหน่อย เพราะว่าทุกอย่างมันไม่สามารถอธิบายด้วยภาพหรือคำพูดได้ฮะ เลยอยากให้ลองชมแบบเต็มๆดู บรรยากาศการนั่งหลังคาเรือมันเป็นแบบนี้แหละ !



ซักวัน เจ้าจะต้องเติบใหญ่......แล้วชั้นจะรอเธอ......ที่ MK นะ.........ห๊ะ !?



หลังจากไปรับลมทะเลเมืองลาวมาเรียบร้อย พวกเราก็กลับมาที่เมืองเวียงจันทน์กัน คืนนี้เป็นคืนสำคัญที่พวกเราตั้งใจตั้งแต่แรกว่าจะต้องทำมันให้สำเร็จ เรียกได้ว่ามันคือจุดประสงค์หลักของทริปลาวเลยก็ว่าได้ นั่นคือ การเค้าดาวน์ปีใหม่ที่ต่างประเทศ !!!!!!

เราเดินเลาะรอบแม่น้ำโขงชมพระอาทิตย์ตกยาวตลอดทางฮะ วันนั้นแม่น้ำโขงค่อนข้างแห้งเพราะเป็นหน้าหนาว ถ้ามาช่วงน้ำเต็มและเห็นแสงอาทิตย์ตกกระทบผิวน้ำไปฟินแน่ๆ


สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของคนไทยก็คือ การตกใจอย่างเว่อๆนี่แหละฮะ ลองเจออะไรที่ทำให้ตาลุกวาวได้สิ คำอุทานรุ่นพ่อรุ่นแม่ออกมาอย่างไม่ไว้หน้าใคร ตอนนั้นคนลาวหันมามองกันเต็ม ถามว่าเขินไม๊ .... ถ้าเพื่อภาพนี้เขินก็ยอมฮะ :)



แทบจะทั่วทั้งเมืองถูกบรรยากาศของงานฉลองปกคลุมไว้หมดเลยฮะ แต่การจัดงานปีใหม่ของทางเวียงจันทน์อาจจะยังไม่อลังการเท่าที่ไทยหรืออื่นๆ เพราะว่าทางเวียงจันทน์เพิ่งจะมีการจัดงานฉลองปีใหม่ได้ไม่กี่ปีเองครับ โดยปกติที่นี่จะจัดตามประเพณีทั่วไป ที่วัดเป็นส่วนใหญ่ แต่หลังๆเริ่มมีดนตรีหนัก ดีเจมาเปิดเพลงให้แดนซ์เพิ่มความสนุกมากขึ้น

พวกผมโชคดีด้วยที่วันนั้นได้เจอวงร็อคชื่อดังแห่งประเทศลาว....วง Cell !!! ตอนเด็กๆนี่ชอบร้องมากฮะ ถ้ายังจำกันได้กับเพลง "หวาน" ที่ดังมากๆในไทย



ระหว่างที่เดินเรื่อยเปื่อยรอเวลาเริ่มต้นของปีถัดไป พวกผมเริ่มรู้สึกว่า อยากจะหาอะไรหวานๆกิน ตั้งแต่มาที่ลาวยังไม่ได้แตะอะไรหวานๆเลย พอพูดจบปุ๊บ! ร้านนี้ก็โผล่มาอยู่ตรงหน้าเหมือนดั่งสวรรค์มาโปรด พวกเราเลยนั่งพักให้หายเมื่อยตูดและเติมความหวานกันซักหน่อย



เอาละ ใกล้จะได้เวลาที่จะเริ่มนับถอยหลังสู่ปีใหม่ซักที พวกเราเลยเดินไปที่หอวัฒนธรรมที่เป็นที่จัดงานปีใหม่ในเวียงจันทน์ ที่หอวัฒนธรรมถือเป็นศูนย์กลางของงานฉลองมากมายรวมถึงประเพณีต่างๆที่ทางการจะจัดขึ้นในเวียงจันทน์เลยฮะ ที่นี่อยู่ห่างจากลำน้ำโขงไม่ไกล แค่ 10 นาทีก็เดินถึงแบ้วว


วัยรุ่นทั่วทั้งเมืองมารวมตัวกันที่นี่ครับ ตอนนั้นรู้สึกประหม่าหน่อยๆเพราะเราก็เป็นวัยรุ่นเหมือนกัน ไม่รู้ว่าวัยรุ่นที่นี่จะมาสไตล์เดียวกับพวกเราหรือเปล่า แต่เพลงที่ดีเจเปิดมันกระชากพวกเราให้เข้าไปในวงพวกเค้าได้ไม่ยากเลยจริงๆ 5555

แต่มีเรื่องที่ผมรู้สึกตลกมากๆอย่างนึงนะครับ มันคือท่าเต้นของคนที่นี่....เพลงที่จัดในงานนี่เทียบเท่ากับ RCA หรือผับดีๆแถวข้าวสารเลยนะ (ผมไม่เคยเข้านะ คุณยายเล่าให้ฟัง) แต่ลีลาเท้าไฟของคนลาวนี่ ไม่ทิ้งเอกลักษณ์จริงๆฮะ เพลงจะตื๊ดแค่ไหน พวกนางก็ยืนแล้วพยักหน้าตามจังหวะ มีขยับมือเล็กน้อยตามทักษะของแต่ละคน ใครชั่วโมงบินสูงหน่อยก็เริ่มมียกเท้า ส่ายเอวบ้าง แม้กระทั่งกลุ่มสาวประเภทสอง (ซึ่งมีเยอะมากกกกกกกกกกกกกกกกก) ก็ยังไม่สามารถโชว์ของได้อย่างเต็มที่ ระดับความแรงผมให้ได้แค่ 2 ริกเตอร์เท่านั้นครับ ถ้าลองให้พวกนางมาเจอวัยรุ่นไทย เอาแค่งานวัดธรรมดาก็ได้ เชื่อเลยว่าพวกนางจะต้องประทับใจจนเก็บเอาไปฝัน แล้วอาจจะทำให้วงการเต้นในลาวเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงแน่ๆ 5555


วันนี้วันสุดท้ายแล้วครับที่เราจะได้อยู่เมืองลาว แน่นอนว่าพวกผมยังไม่ได้เก็บสถานที่สำคัญๆในเมืองหลวงแห่งนี้ไว้เลย จึงขอตามเก็บภายในวันนี้ก่อนข้ามแดนละกันเนอะ

สถานที่แรกที่พวกเราไปคือประตูชัยครับ ผมเชื่อว่านักท่องเที่ยวทุกคนที่มายังเมืองนี้จะต้องไม่พลาดแน่นอน ไปชมภาพกันเลยยย







ตามธรรมเนียมของแก็งเรา ขอจารึกความเท่ไว้ยังที่แห่งนี้อีกใบละกัน :D


เสร็จจากประตูชัยก็เริ่มกระหายน้ำกันละ พวกเราจึงขอจัดกาแฟที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเบอร์ 1 ของที่นี่ "กาแฟสีหนุก" ฮะ


เจดีย์แห่งนี้เรียกว่า พระธาตุดำ ครับ เป็นสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งในเมืองนี้ ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเช่นกัน

ต่อไปเราจะไปยังพิพิธภัณฑ์สีสะเกต ซึ่งอยู่ไม่ไกลฮะ


จริงๆเราสามารถอ่านป้ายต่างๆได้ไม่ยากเลยนะ ตอนแรกที่มาอาจจะงงๆนิดหน่อยแต่ซักพักจะเริ่มชินและเข้าใจไปเอง






มายังพื้นที่วัดก็ยังไม่ไว้ลายนะพวกเรา 55555555


สถานที่สุดท้ายเราจะไปยังหอพระแก้วครับ สถานที่แห่งนี้เคยเป็นที่ประดิษฐานของพระแก้วมรกต แต่ในปัจจุบันถูกอัญเชิญลงมาประทับที่กรุงเทพฯแล้วที่วัดพระแก้วนั่นเอง ซึ่งหอพระแก้วนี้ภายหลังได้รับการบูรณะขึ้นใหม่ให้สวยงามขึ้นครับ ไปชมกันเลย






เคลียภารกิจเรียบร้อยยยย! เตรียมตัวออกเดินทางกลับประเทศไทยของเรากัน

และแน่นอน เราไม่ลืมที่จะทิ้งทวนให้คนลาวได้เห็นอิทธิฤทธิ์ของพวกเรา 4 หนุ่ม F4 โดยการถ่ายรูปมันกลางถนนนี่หล่ะฮะ 555555



จบแล้ววววกับ [ภาค2] ของพวกเราในการมาเยือนลาวแห่งนี้ ลาวเป็นประเทศที่น่ารักในสายตาของผมนะ ผู้คนยิ้มแย้ม และมีการดำเนินชีวิตที่เรื่อยๆแต่มีความสุขมาก นี่คือวิถีแห่ง Slow Life ของแท้เลย ใครที่มาเยือนเมืองหลวงของลาวแห่งนี้อย่าลืมเก็บภาพบรรยากาศมาเยอะๆนะฮะ ลาวยังมีอีกหลายที่ที่น่าสนใจ ลองไปในที่ที่คุณไม่รู้จักอาจจะเจออะไรที่มันเจ๋งๆก็ได้

 หวังว่าคุณผู้อ่านจะได้รับอรรถรสไม่มากก็น้อยนะฮะ แต่ว่า !!!!!! เรื่องราวของพวกเรายังไม่จบง่ายๆแค่นี้ครับ ! อย่างที่บอกว่าเราจะไปมันส์กันต่อที่ผืนแผ่นดินเกิดของพวกเราเอง ถ้าพูดถึงอีสาน แน่นอนว่าที่แห่งนี้จะผุดออกมาเป็นชื่อแรกๆที่หลายๆคนนึกถึงครับ.....ใช่แล้วครับ.....เชียงให  ไม่ใช่ว้อยยยย !!!! เราจะไปลุยกันต่อที่ เชียงคานนนนนนนนน รอติดตามชม [ภาค3] ของพวกเราได้เร็วๆนี้ ยี้ ยี้ ยี้ ยี้ (เอคโค่)


No comments:

Post a Comment