Das Leben ist einer Reise.

Das Leben ist einer Reise.
สวัสดี เราชื่อ มะกรูด

เราชอบเที่ยว ชอบถ่ายรูป ชอบคุยกับคนแปลกหน้า และชอบคนหน้าแปลก ชอบหัวเราะใส่หน้าคน ชอบอะไรก็ตามที่มันทำให้ยิ้มได้ และที่สำคัญ....เราชอบหลงทางงงงงงง !!!!

ท่านผู้อ่านทั้งหลายยยย ในเมื่อท่านพลัดหลงเข้ามาในบล็อกของผมแล้วก็อย่าจากไปมือเปล่าโดยไม่อ่านบันทึกเรื่องราวการเดินทางมันส์ๆสิ ถือซะว่าหลงทางมาเหนื่อยๆนั่งพักอ่านอะไรเพลินๆไปก็ได้นะ ไม่แน่ว่าบันทึกเหล่านี้ของผมอาจจะเป็นชนวนจุดไฟให้กับเท้าของคุณได้ออกเดินทางอีกครั้งนึงก็ได้

"การหลงทางไม่ใช่ความผิดพลาด แต่เป็นการเริ่มต้นสู้การเดินทางบทใหม่" นะจ๊ะ เพราะฉะนั้นแล้ว นั่งลง ตั้งสติ สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพร้อมผจญภัยไปกับผมได้เลยย !

Friday, April 24, 2015

A Dream Journey Bromo - Kawah Ijen - Yogyakarta [Part 2]

   ใครที่พลาด Part 1 ไปสามารถติดตามอ่านได้ที่ลิ้งค์ด้านล่างเลยนะครับบบ

   เอาละ เรามาออกเดินทางเพื่อตามล่าภูเขาไฟอีก 1 ลูกกันดีกว่าาา

   จุดมุ่งหมายของเราในคร่าวนี้คือสถานที่ที่มีไฟสีฟ้าพวยพุ่งออกมาซึ่งสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าเฉพาะเวลากลางคืนเท่านั้น เราออกจากที่พักที่ Bromo ตอน 11 โมงเพื่อไปต่อรถที่ Probolinggo ก่อน แล้วจากจุดนั้นจะใช้เวลาอีกประมาณ 5 ชั่วโมงเพื่อไปถึงที่พักที่ Banyuwangi ครับ


   ตลอดการเดินทางเราจะสามารถเห็นพื้นที่นาที่กว้างใหญ่ไพศาลได้ในทุกเส้นทางที่ผ่านเลยหล่ะครับ อินโดนิเซียถือว่าเป็นประเทศที่ปลูกข้าวมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลกและเป็นอันดับ 1 ในกลุ่มอาเซียนของเรา แต่กลับกลายเป็นว่าอินโดฯ ผลิตข้าวไม่เพียงพอต่อความต้องการของคนในประเทศซะงั้น

   หลังจากนั่งรถขึ้นเขาพร้อมเส้นทางไม่ค่อยจะราบเรียบซักเท่าไหร่ ก้นกบแทบแตกเป็นเสี่ยงๆจากหลุมเล็กหลุมน้อยนับพัน ! เราก็มาถึงที่พักกันซะที


   เรามาพักที่ Arabica Homestay ซึ่งที่นี่เขาโม้มาว่า ส่งออกกาแฟไปให้บริษัทใหญ่ๆในโลกและหนึ่งในนั้นก็คือ Starbuck เลยนะ (อินโดนิเซียเป็นผู้ส่งออกกาแฟรายใหญ่ Top 5 ของโลกเชียวนะ) เข้าเรื่องกันต่อพวกเรามาถึงกันประมาณ 1 ทุ่มและพักผ่อนชิมชาฟรีที่เขาเตรียมมาให้และรีบเข้านอนทันทีเพราะพรุ่งนี้เช้าต้องตื่นตั้งแต่ตี 1

   เออขอให้เป็นข้อคิดสำหรับใครจะหาที่พักแถว Ijen นะครับ คือไม่ต้องคาดหวังว่าจะได้นอนที่พักดีๆ มีอาหารพร้อมหรือสิ่งอำนวยความสะดวกอะไรเลยนะ เรามาแตะที่พักแค่ 5 ชม. เท่านั้น เอาให้มีที่ให้พักเอาแรงก็พอ ประหยัดได้เยอะครับ แล้วก็ถ้าเป็นไปได้กรุณาเตรียมของว่างสำหรับตอนเช้าด้วยนะ ที่ผมเหมาราคานี้ไปรวมค่าอาหารเช้าแล้วแต่พอมาเจอจริงๆนางแจกขนมปัง 2 แผ่น เนยไว้ทา และเกล็ดช็อคโกแลตสำหรับโรยครับ....ตอนนั้นรู้สึกเสียดาย 1 ล้านรูเปียขึ้นมานิดๆเลย 55555

   พวกเราเริ่มออกเดินทางจากที่พักตอนตี 1 กว่าๆโดยมีรถมารับเราไปส่งยังทางขึ้นเขาที่ต้องเดินเท้าต่อไปอีก 3 กิโล เราไปถึงที่ Ijen ตอนตี 2 และมีไกด์ท้องถิ่นคอยรอรับพวกเราถึงที่ (สำหรับใครที่ไม่ได้เหมาโปรแกรมแบบนี้ก็สามารถเดินด้วยตัวเองไม่ต้องจ้างไกด์ก็ได้ครับ แต่ทริปนี้ผมถือว่าการมีไกด์เป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับการขึ้น Ijen Carter เลยหล่ะ จะขออธิบายในภายหลังนะ)


   หลังจากเราเดินขึ้นมาประมาณกิโลครึ่ง เราจะเจอจุดแวะพักสำหรับนักท่องเที่ยวครับ ที่นี่มีน้ำและของว่างขายเล็กน้อย แต่เราไปถึงตอนตี 3 กว่าๆ อิคนขายมันยังไม่ตื่นนนนน

   จุดแวะพักตรงนี้เราได้เจอนักท่องเที่ยวชาวไทยด้วยครับ เป็นคนไทยกลุ่มแรกที่เจอตั้งแต่มาที่อินโดฯเลย แต่ก็ไม่ได้ทักกันนะ เหมือนต่างคนต่างเหนื่อยกันอยู่ 555


   เพื่อไม่เป็นการเสียเวลา พวกเราจึงเริ่มเดินกันต่อเพื่อให้ไปถึง Ijen Crater เร็วๆ เราต้องเดินเท้าต่ออีกโลครึ่งซึ่งใช้เวลาเกือบ 2 ชม. เนื่องจากทางจะชันกว่าที่เรามาช่วงแรกมาก เราเดินมาจนถึงช่วงสันเขาซึ่งจะเริ่มเห็นกลุ่มควันที่ลอยออกมาและแน่นอนครับ...กลิ่นกำมะถันค่อยๆออกมาต้อนรับพวกเราอย่างสนุกสนาน พอถึงจุดนั้นไกด์ก็เรียกพวกเราให้มารับอาวุธสุดยอดอันนี้ครับ...หน้ากากกรองอากาศ

   พูดตรงๆเลยว่า พวกเราเตรียมตัวกันมาตามรีวิวที่เคยอ่านซึ่งส่วนใหญ่บอกว่าไม่ต้องเอามาหรือแค่ผ้าปิดปากก็พอ แต่เอาเข้าจริงๆนะครับ ถ้าผมไม่มีหน้ากากอันนี้ผมคงไม่มีโอกาสมาเขียนบล็อคให้อ่านกันแน่นอน 555555 สำหรับใครที่ไม่คิดจะเข้าไปเผชิญกับหมู่ควันและกลิ่นอันรุนแรงขนาดหนักแล้วละก็ ยืนอยู่ห่างๆอย่างห่วงๆก็พอทนครับ แต่ถ้าคิดจะเข้าไปถ่ายรูปหรือลงไปเห็นใกล้ๆ หน้ากากแบบนี้คือสิ่งจำเป็นอย่างที่สุดฮะ (ซึ่งไกด์ทุกคนจะมีหน้ากากเตรียมไว้ให้ จึงเป็นอีกผลหนึ่งที่ผมรู้สึกดีมากๆเวลามีไกด์)

   เอาละครับ เวิ่นเว้อกันมานาน ลองมาชมความงดงามของสิ่งมหัศจรรย์ที่ยังหลงเหลืออยู่เพียงไม่กี่แห่งในโลกนี้ สิ่งที่คิดว่าจะมีแต่ในนิยาย บัดนี้มันมาอยู่ตรงหน้าผมแล้ว BLUE FRAME !! 
 



   เอาเข้าจริงๆ ผมไม่สามารถที่จะถ่าย Blue frame ได้เลยครับ ขนาดลงทุนเข้าไปในเหมืองกำมะถันแล้วก็ตาม แต่แทบจะหนีตายออกมาทุกครั้ง ภาพบนสุดถูกถ่ายโดยไกด์ที่พวกเราจ้างมาครับ นางอาสาเอากล้องของเพื่อนผมไปถ่ายให้ในนั้นเลยซึ่งผมโคตรรจะนับถือคนงานแถวนี้มากเลยนะ ไม่รู้ว่าทนกลิ่นทนควันหนักขนาดนั้นได้ยังไง

   อ่อลืมบอกไปว่าที่ Ijen Crater นั้นถูกทำเป็นเหมืองกำมะถันของชาวบ้านแถบภูเขานี้ครับ เนื่องจากกำมะถันสามารถนำมาทำเป็นสารบำรุงผิวได้อย่างดีและยังนำไปต่อยอดในอุตสาหกรรมหลายๆอย่างในอินโดฯได้


   ชาวบ้านทำงานท่ามกลางความมืดและกลุ่มควันพิษโดยมีสิ่งติดตัวคือไฟฉายบนหัวและหน้ากากเท่านั้น เป็นภาพที่น่าสงสารมากๆเลย


   ใกล้เช้าละครับ เราจะเริ่มเห็นท่อนำก๊าซที่คนงานสร้างไว้สำหรับผลิตก้อนกำมะถันสีเหลือง ภาพนี้เราจะเห็นกลุ่มควันมากมายเลย และไฟสีฟ้าค่อยๆจางหายไปพร้อมกับแสงอาทิตย์ครับ

   แต่นอกจากไฟสีฟ้าแล้ว ยังมีอีกสิ่งนึงที่เป็น landmark ของที่นี่เลย เรียกได้ว่า ไฟสีฟ้าเป็นพระเอกในตอนกลางคืน แต่สิ่งนี้จะเป็นพระเอกในตอนกลางวันเลยหล่ะครับ นั่นคือ ทะเลสาบสีเขียว นั่นเองงง




   ทะเลสาบแห่งนี้ถือกำเนิดขึ้นมาในช่วงที่ Ijen เกิดการระเบิดครั้งใหญ่ครับ จนทำให้เกิดเป็นแอ่งและมีน้ำหลงเหลืออยู่กลายเป็นทะเลสาบ ส่วนสีเขียวนั้นมาจากกรดที่ออกมาจากปล่องภูเขาไฟครับ



   คนงานหลายคนมารอรับก้อนกำมะถันเพื่อเอาไปขายและแปรรูปเพื่อใช้ในกระบวนการผลิตอื่นๆต่อไป





   ก้อนกำมะถันที่คนงานต้องแบกต่อครั้งนั้นรวมกันอยู่ที่ 70 - 90 กิโลกรัมต่อครั้ง ซึ่งระยะทางลงไปยังประตูทางออกประมาณ 3 กิโลเมตรแต่เป็นเส้นทางชันและเดินบนหิน แน่นอนว่ารวมระยะทางเดินขึ้นมาแล้วรวมกันก็ครั้งละ 6 กิโล ซึ่งแต่ละคนเฉลี่ยแล้วจะขนก้อนกำมะถัน 2 รอบต่อวัน โดยแต่ละรอบจะได้ค่าตอบแทนเพียง 10,000 Rp หรือประมาณ 20 บาทเท่านั้น คุณลองนึกภาพว่าต้องแบกคนไว้บนบ่าเพื่อเดินขึ้นเขาลงเขา 6 กิโล เพื่อแลกกับค่าตอบแทนแทบจะไม่พอซื้อข้าวกินดูสิครับ....เราโชคดีแค่ไหนแล้วที่เกิดมาได้เท่านี้


   อ๊ะ หยุดดราม่าแล้วมามันส์กันต่อดีกว่าเนอะ 555555 นี่คือโฉมหน้าไกด์ที่พาเราขึ้นมายัง Ijen Crater และแนะนำหลายๆสิ่งหลายๆอย่าง พร้อมทั้งช่วยเหลือดูแลเราอย่างดีมากๆๆ นางพูดอังกฤษเก่งแม้จะฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง แต่เป็นคนนิสัยดีมากครับ ตอนผมปีนเขาเหนื่อยๆจะร้อง "วู๊ววว" ออกมาเพื่อปลุกพลัง ไกด์ก็จะถามว่าผมร้องทำไม พอผมอธิบายให้ฟังเค้าก็ทำตามและชอบใจใหญ่เลยครับ กลายเป็นได้ยินเสียงนางร้อง "วู๊ววว" ตลอดทางเลย 5555555


   ภาพของสันเขาและร่องรอยการระเบิดของภูเขาไฟลูกนี้สวยงามมากๆครับ ยิ่งเช้ายิ่งสวย มันดูมีมนต์ขลังและแสดงให้เห็นถึงอนุภาพของแรงระเบิดในอดีตได้ทรงพลังเชียวละ


   ผู้คนเริ่มสนุกกับการถ่ายภาพและเก็บบรรยากาศบนสันเขา ภาพแบบนี้จึงโผล่ออกมาไม่ยากครับ :))


   สองสาวก็ขอแจมภาพแบบนี้เหมือนกัน



   พระอาทิตย์ขึ้นมาด้านหลังเนินลูกนี้พอดี จึงเกิดเป็นศิลปะจากธรรมชาติแบบนี้แหละ


   มุมอมตะสำหรับการมาเที่ยวทริปนี้อีกมุมนึงก็คือ การเก็บภาพของกองทัพมอส ที่มีมากมายเหลือเกินในประเทศนี้



   นอกจากก้อนกำมะถันจะนำมาใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมต่างๆแล้ว ศิลปะก็ถือเป็นอีกทางเลือกนึงสำหรับเจ้าก้อนกำมะถันนี้ครับ รูปปั้นเหล่านี้ไม่ได้แกะสลักมาจากก้อนหินใหญ่ๆที่เห็นกันนะครับ แต่คนงานจะนำมาละลายกับสารบางอย่างก่อนแล้วนำไปใส่แม่พิมพ์รูปต่างๆ (ซึ่งตอนแรกผมก็งงว่าแกะสลักกันยังไงให้ใสกว่าหน้าตูอีกวะ 55555)




   อย่างที่ผมบอกครับ วิวภูเขาที่นี่มันมีเสน่ห์เหลือเชื่อและผมก็หลงใหลมันมากๆ ด้วยความที่เขียวของมันยิ่งทำให้ผมอยากลงไปกลิ้งบนนั้นเลยหล่ะ


   Candid กับไกด์คู่ใจอีกซักหน่อย

   ระหว่างทางขาลงจากเขาผมแวะถ่ายรูปไปเรื่อยๆครับ และเมื่อใกล้ถึงเส้นชัยผมก็เจอกับอีกหนึ่งหน้าที่ของคนงานแถวนี้...


    นอกจากจะแบกก้อนกำมะถันหนักร่วมร้อยกิโลแล้ว ยังต้องมาแบกคนจริงๆขึ้นไปบนเขาอีก ผมขอดื่มนม 3 จอกให้กับพวกเขาครับ

   พวกเราลงมาถึงทางออกตอน 7 โมงเช้าแล้วเริ่มเดินทางต่อแบบ non-stop เพื่อจะไปยังสถานีรถไฟให้ทันเวลาครับ โดยต้องเดินทางกลับมาที่ Probolinggo ก่อน แล้วนั่งรถบัสกลับไปยังขนส่ง ปุราบายา อีกครั้งเพื่อหาแทกซี่ไปลงสถานีรถไฟ Gubeng ในสุราบายาครับ

   ระหว่างทางเราได้แวะทานอาหารกลางวันที่ร้านอาหารหนึ่ง จึงแอบเก็บภาพอาหารมาให้ชมกัน


   ไก่ถือเป็นอาหารหลักของแถบนี้ก็ว่าได้ เราจะเจอมันอยู่ทุกซอกถนน ร้านไหนไม่มีไก่ขายร้านนั้นเจ๊ง สำหรับเมนูนี้เรียกว่า Ayam Goreng Masak Kecap ครับ ซึ่งผมมีของฝากเล็กๆน้อยๆสำหรับคนที่เตรียมตัวจะมาประเทศนี้ นี่คือเมนูอาหารพร้อมภาษาอังกฤษครับ (จำเป็นมากฮะ เพราะร้านส่วนใหญ่ไม่มีอังกฤษกำกับทำให้ต้องเดาทางทุกครั้งที่ไปกิน 555555)



   ผมจะขอกล่าวถึงศัพท์ที่จำเป็นที่สุดสำหรับ Backpacker และพวกมาทริปประหยัดทั้งหลายนะครับ นั่นคือ Nasi Goreng = ข้าวผัด, Mie Goreng = หมี่ผัด, Goreng = ผัดหรือทอด, Bakar = ย่าง, Bakso = ก๋วยเตี๋ยวพื้นเมือง, Ayam = ไก่, Pecel = ปลา, Bebek = เป็ด และ Nasi putih = ข้าวสวย

   เตือนไว้ว่า บางร้านต้องสั่งข้าวมาแยกอีกทีนะครับ บางที่เสิร์ฟมาแบบมีข้าวมาให้เลยคิดว่าฟรี พอคิดราคากลับกลายเป็นคิดค่าข้าวสวยด้วยนี่สิ





   เรามาถึงที่ขนส่งปุราบายาตอน 5 โมงครึ่ง แล้วนั่งแทกซี่เหมาไป 150,000 Rp. ถึงสถานีรถไฟ Gubeng ตอน 6 โมงเย็นนิดๆ แล้วซื้อตั๋วไป Yogyakarta รอบ 19.00 ในราคา 190,000 Rp. ซึ่งจะถึงที่นั่นประมาณเที่ยงคืนครับ


   ก่อนรถไฟจะออก เราก็แวะซื้อของกินเล่นระหว่างทาง หลายๆคนคงคุ้นเคยฮะ ที่อินโดฯขายดีมาก มีครบเลยทั้ง Roti'O และ Roti Boy


   สภาพรถไฟถือว่าไม่แย่นะ มีแอร์ด้วย แต่ที่ต้องระวังคือเจ้าหมอนสีเขียวที่พนักงานจะเดินแจกครับ...ตอนแรกพวกผมคิดว่าฟรี แต่โชคดีที่มีคนอินโดฯนั่งข้างหลังแล้วบอกกับพวกเราว่า ค่าเช่ามันราคา 5,000 Rp !

   เรามาถึงสถานีที่ Yogya และได้นัดกับโรงแรมว่าให้มารับที่สถานีรถไฟตอนเที่ยงคืน แต่เหมือนทางโรงแรมจะเช็ครอบรถไฟผิดสายทำให้คลาดกัน แต่ความโชคดีของพวกเรายังมีอีกเพียบครับ เราเจอผู้หญิงชาวอินโดฯเดินเข้ามาทักเราแล้วถามว่าจะไปไหน เราอธิบายสถานการณ์ให้ฟัง นางจึงอาสาไปส่งให้ถึงที่โรงแรมเลย ซึ่งเราได้พูดคุยกันหลายๆอย่างและทราบต่อมาว่า นางเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ด็อกเตอร์ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในอินโดฯ !! แล้วที่นางเข้ามาทักเราเพราะเห็นว่าเราเป็นวัยรุ่นต่างชาติ นางอยากช่วยเพราะเคยเจอปัญหาแบบนี้เวลานางไปอยู่ต่างประเทศเช่นกัน นางบอกว่าพวกเราเหมือนเป็นนักเรียนของเค้า บอกตรงๆตอนนั้นเป็นความประทับใจที่สุดยอดมาก และที่ Yogya แห่งนี้เราได้เจอเรื่องราวของคนดีนับไม่ถ้วนเลยหล่ะ 


   ว่าแล้วก็ขอถ่ายรูปกะอาจารย์ท่านนั้นก่อนจากลากัน ลืมบอกไปว่าบนรถตอนนั้นมีลูกชายของท่านขับรถมาและมีลูกสาวนั่งท้าย รวมพวกเรา 3 คนก็เป็น 6 คน ซึ่งเบียดกันในรถ Honda Brio !


   เราเลือกพักที่ Puri Pangeran Hotel ครับ ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามจากนักท่องเที่ยวหลายๆคนและหลังจบทริปนี้ ผมขอยืนยันว่าที่นี่เป็นโรงแรมที่ดีสุดๆๆๆๆๆในการมาพักที่ Yogya อีกหนึ่งเสียงครับ เนื่องจากว่าเราแจ้งเข้า Early Check-in ตอนตี 1 แก่ทางโรงแรมซึ่งเขาก็ยินดีให้พวกเราเข้ามาพักในคืนที่มาถึงได้ รวมแล้วเหมือนพัก 3 คืนแต่เค้าคิดราคาเราแค่ 2 คืนเท่านั้นครับ แถมยังได้ส่วนลด 15% อีกด้วยนะ รถบริการรับส่งฟรีไปสนามบินอีก พนักงานสุภาพทุกคนแถมพูดอังกฤษคล่อง ถามอะไรก็จะช่วยเหลืออย่างเต็มที่ คือมี 5 ดาว ผมให้ 5 ดาว มี 10 ดาวผมก็ให้ 10 ดาวสำหรับที่นี่ครับ :)


   เรานอนพักกายกันยกใหญ่และเริ่มออกสำรวจเมือง Yogya แห่งนี้ตอนสายๆ จุดมุ่งหมายสำหรับเราในวันนี้คือ วัด Prambanan ซึ่งเป็นวัดฮินดูที่ใหญ่ที่สุดของที่นี่ครับ


   สำหรับการเดินทางในตัวเมือง Yogya จะมีรถโดยสารสาธารณะซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเมืองนี้เลยครับ ในรูปคือป้ายรถเมล์ของที่นี่โดยจะมีพนักงานขายตั๋วคอยควบคุมคนที่จะขึ้นมาบนนี้ได้ และกระเป๋ารถเมล์บนรถยังทำหน้าที่คัดคนเข้าไม่ให้แน่นจนเกินไปด้วย ซึ่งถ้านำระบบนี้มาใช้ที่ไทยได้ ผมว่าจะแก้ปัญหาหลายๆอย่างได้เลยนะ มันเท่มากๆ



   รถโดยสารที่นี่จะเป็นสีเหลืองเขียวครับและมีสายเดียวทั้งเมืองและวิ่งเฉพาะในเมือง Yogya เท่านั้น นั่นเพราะ Yogya เป็นเมืองพิเศษ 1 ใน 2 จังหวัดของอินโดฯคล้ายๆกับ พัทยา หรือกรุงเทพฯบ้านเรา ที่นี่จะมีสุลต่านปกครองเมืองแยกออกมาจากเมืองอื่นๆเพราะฉะนั้นเราจะเห็นความแตกต่างหลายๆอย่างที่ไม่สามารถพบเห็นได้ในจังหวัดอื่นๆของอินโดฯครับ ดั่งคำขวัญของเมืองนี้ที่ว่า Yogya istimewa (ตอนแรกอ่าน Is time wa ซึ่งจริงๆต้องอ่าน is ti me wa ครับ) ซึ่งแปลว่า มหัศจรรย์แห่งเมือง Yogya นั่นเอง



   ขณะที่เรายืนรอป้ายรถเมล์อยู่นั้น เราก็ได้เจอกับกลุ่มรถ 2 ล้อ รถ 4 ล้อขับมาเต็มถนน กลุ่มพวกนี้เป็นกลุ่มการเมืองครับ การหาเสียงหรือการแสดงอำนาจจะกระทำผ่านการยกพล เคลื่อนขบวน ขับรถวนรอบเมืองโบกธงไปมา ให้อารมณ์เหมือนกำลังยกทัพไปตีกันที่ไหนซักแห่ง ซึ่งแน่นอนว่าไม่ได้มีแค่กลุ่มหรือ 2 กลุ่ม....เราเจอแทบทั้งวันครับ วิ่งสวนกันไปวิ่งสวนกันมา ซึ่งค่อนข้างน่ารำคาญใช่ย่อยเลย

   นั่งรถมาได้ประมาณครึ่งชม. รถเมล์ก็จอดเทียบท่าให้เราลง ซึ่งป้ายที่จะไปวัด Prabanam นั้นอยู่สุดสายพอดี แต่เราต้องเดินต่อไปอีกเล็กน้อยเพื่อไปยังวัดนะครับ


   ที่เมืองนี้จะมีรถม้าแบบนี้ให้นั่งกันด้วย ให้อารมณ์เหมือนอยู่ในเมืองผู้ดียังไงยังงั้นเลย


   ผมบอกแล้ว ว่ามอสที่เมืองนี้มันขึ้นสวยงามจริงๆ :D


   ราคาค่าตั๋วสำหรับนักท่องเที่ยวจะอยู่ที่ 225,000 Rp. ครับ ซึ่งคนอินโดฯจะเสียค่าเข้าเพียง 30,000 Rp.....7 เท่าเลยนะน้องชายยยยยย !!!!


   แดดค่อนข้างร้อนมากครับ แข่งขันกับประเทศไทยได้สบายๆ ใครใคร่เตรียมอุปกรณ์กันแดดมาจะดีมากเลยครับ


   ความตลกของเมืองนี้คือเหล่าตุ๊กตาที่เดินเพ่นพ่านทั้งในเมือง ตลาดนัด หรือแม้กระทั่งในวัดครับ คือไม่รู้ไปเอาความมั่นใจมาจากไหน ไม่รู้ตอนทำหุ่นได้ศึกษามาหรือป่าวว่าเหมือนหรือไม่เหมือน แต่พวกผมเห็นแล้วกลั้นขำไม่อยู่เลยครับ 555555


   วัด Prambanan ถือเป็นวัดฮินดูที่สำคัญที่สุดใน Yogya ครับ ซึ่งแต่ก่อนช่วงที่ค้นพบวัดนี้สภาพดูไม่ได้เลยยย จึงได้มีการบูรณะครั้งใหญ่ให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด (ตอนดูในภาพนี่เหมือนจะสร้างใหม่ทั้งหมดเลยหล่ะ)




   ท้องฟ้าเริ่มจะมืดครึ้ม ซึ่งก็เป็นไปตามที่ดูพยากรณ์อากาศมา ฝนตกค่อนข้างหนักทีเดียว


   มีเรื่องให้แปลกใจอีกแล้วครับ ในวัดแห่งนี้มีสวนกวางที่ใหญ่มากกกก กวางมีเกือบร้อยตัวเลย มาตั้งอยู่ในวัดได้ง๊ายยยยยย


   การแสดงพื้นเมืองที่เห็นได้ในสวนเขตวัดครับ จะมีคนที่แสดงเป็นม้า อีกคนเหมือนเป็นคนเลี้ยง อิคนเป็นม้านี่ใส่อารมณ์เต็ม 10 Hollywood ยังอายบ่องตง


   มุมงามๆอีกมุมนึงของวัด Prambanan ครับ


   ก่อนกลับไปเจอเจ้าตัวนี้นั่งเหงาอยู่ริมบ่อน้ำพุ จะเรียกว่าเป็นหุ่นที่เป็นตัวแทนของคนอินโดฯก็ว่าได้

   เราใช้เวลาที่วัดนี้แทบทั้งวันเลยฮะ (เพราะติดฝนไปไหนไม่ได้) เราจึงรีบกลับไปพักผ่อนที่โรงแรมก่อนแล้วจะไปตะลุยโลกกลางคืนของที่นี่กันที่ Malioboro 


   Malioboro เป็นแหล่งของวัยรุ่นที่ Yogyakarta ก็ว่าได้ครับ เราจะเจอทั้งนักแสดงข้างถนนมากมายรวมถึงร้านขายของเปิดเป็นแนวยาวมากกว่า 1 กิโลเมตรเลย ใครที่อยากซื้อของฝากพวกสินค้า Batik ทั้งหลายก็แนะนำให้มาที่นี่ครับ


   และที่ขาดไม่ได้นั่นคือการแวะชิมอาหารข้างทางครับ มื้อนี้เราอยากลองทานอาหารแบบคนอินโดฯดู นั่นคือใช้มือกินฮะ และผลลัพธ์ที่ออกมา.....โคตรรรรมันส์เลยฮะ กินแบบไม่อายคนอินโดฯเลย 55555555 (อาจจะฝึกมาดีจากการจกส้มตำบ้านเรา)


   อิตุ๊กตามันตามมาหลอกหลอนถึงที่ และคราวนี้มาในคราบของโดเรม่อนหัวแบนครับ ขำลั่นตลาด

   เราเดินกันจนถึงประมาณ 3 ทุ่มก็รีบกลับไปพักผ่อนเอาแรงครับ เพราะพรุ่งนี้เราจะไปตามล่าพระอาทิตย์ขึ้นกัน เราเหมารถจากทางโรงแรมในราคา 90,000 Rp. ต่อคน ซึ่งราคานี้จะรวมค่าไปส่งเราที่ บุโรพุทโธ และพาเรากลับมาที่โรงแรมอีกทีครับ

   รถมารอเราที่โรงแรมตั้งแต่ตี 4 และใช้เวลาเดินทางไปยังจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นประมาณ 1 ชม. ครับ ทริปนี้มีสาวชาวจีนอีก 2 คนและฝรั่งอีก 1 คนร่วมเดินทางไปพร้อมกะเราด้วยครับ เรามาถึงที่หมายก่อนตี 5 และเดินเท้าต่ออีกประมาณ 10 - 20 นาทีไปยังจุดชมวิวครับ มาชมความสวยงามของมันกันดีกว่า


   จุดนี้เราจะเห็นภูเขาไฟ Merapi กำลังพ่นควันออกมาทั่วฟ้าเลยครับ ซึ่งภูเขาไฟลูกนี้คือ Active volcano ที่ใหญ่ที่สุดและอันตรายที่สุดในอินโดนิเซียครับ มีตำนานเล่าขานมากมายเกี่ยวกับภูเขาไฟลูกนี้ คนอินโดฯเล่าให้ฟังว่าที่นั่นถูกเรียกว่า ดินแดนลี้ลับ เพราะมีนักท่องเที่ยวหลายคนไปปีนเขาที่นั่นแล้วหายสาบสูญไป


   และที่จุดนี้เองเรายังสามารถมองเห็น บุโรพุทโธ อีกด้วยครับ (อยู่ด้านขวาที่มียอดแหลมๆโผล่ออกมา)


   พระอาทิตย์ค่อยๆโผล่ออกมา แสดงให้เห็นถึงพื่นที่โดยรอบทีละเล็กทีละน้อย ภาพนี้เป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ตรงเชิงเขาใกล้กับจุดชมวิวครับ


   พระอาทิตย์ออกมาแล้นนนนนนน สวยงามโคตรรรรรรรรร

   พอถึงเวลา 6 โมง เราก็รีบลงจากจุดชมวิวเพื่อไปยังบุโรพุทโธต่อครับ ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. เราก็ถึงที่หมาย ค่าเสียหายในการเข้าชมบุโรพุทโธจะอยู่ที่ 250,000 Rp. สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาตินะครับ



   ตั้งแต่เดินเข้าประตูมาเราก็รู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ของวัดแห่งนี้ได้เลยครับ เนื่องจากมันใหญ่มากกกกและกว้างมากกกกจริงๆ บุโรพุทโธ หรือ Borobudur ถือเป็นวัดพุทธที่ใหญ่ที่สุดในโลกและถูกยกย่องให้เป็นมรดกโลกอีกด้วย


   ตามตำนานที่คนอินโดฯเล่าขานต่อๆกันมาว่า บุโรพุทโธ ถูกสร้างขึ้นมาจากนิมิตของพระพุทธเจ้า ภาพแกะสลักเหล่านี้บอกเล่าเรื่องราวสำคัญทางศาสนาไว้มากมายรอบมหาเจดีย์แห่งนี้


   อ้อ ! ก่อนเข้าวัดทางเจ้าหน้าที่จะนำผ้าแบบนี้มาผูกให้กับเราครับ นักท่องเที่ยวทุกคนต้องใส่เข้าไป ดูน่ารักดี



   ภาพสุดอมตะของบุโรพุทโธแห่งนี้ครับ ยอดมหาเจดีย์แห่งนี้ถูกรายล้อมไว้ด้วยเจดีย์เล็กๆมากมายที่ภายในจะมีพระพุทธรูปปางมารวิชัยอยู่



   บุโรพทุโธแห่งนี้ถูกห้องล้อมไว้ด้วยภูเขา 2 ลูกด้วยกัน นั่นคือภูเขาไฟ Merapi กับ ภูเขา Menoreh Hill ในภาพจะเป็นวิวที่เห็น Menoreh Hill กับเจดีย์พร้อมกันครับ สวยมากๆ


   อีกหนึ่งเรื่องราวประทับใจครับ ตอนเราขึ้นไปก็เจอกลุ่มนักเรียนเยอะแยะเลย ตอนแรกนึกว่าพวกนางมาเที่ยวกัน แต่ผ่านไปซักพักพวกนางก็เริ่มมาขอถ่ายรูป เราสบตากับกลุ่มไหนกลุ่มนั้นจะวิ่งปรี่เข้ามาดั่งวัวกระทิงเห็นผ้าแดง และเราเริ่มสังเกตุว่าพวกนางจ้องจะจับแต่กลุ่มชาวต่างชาติซะด้วย เรานึกว่าเป็นกระแสแต่ภายหลังจึงทราบมาว่า คุณครูได้ให้การบ้านแก่เด็กๆมาว่าต้องถ่ายรูปกับชาวต่างชาติและให้ถามคำถามเป็นภาษาอังกฤษด้วย เราประทับใจมากเลยนะ มันเป็นการเรียนรู้นอกห้องเรียนที่ได้ประโยชน์แถมสนุกอีกด้วย


   ฝรั่งคนนี้เดินทางมาพร้อมกับเราและหลังจากคุยกันได้ซักพักก็นึกขึ้นได้ว่าเคยเจอกันตอนไปที่วัด Prambanan ด้วยย


   อีกมุมนึงของบุโรพุทโธครับ ด้วยความใหญ่และมาตราส่วนที่ดูจะเป๊ะเกินไปสำหรับการสร้างในสมัยก่อนจึงทำให้นักโบราณคดีส่วนใหญ่สงสัยถึงเหตุผลที่แท้จริงในการสร้างวัดแห่งนี้ แถมเคยมีสารคดีชื่อดังเชื่อมโยงเรื่องราวถึงการสร้างโดยมนุษย์ต่างดาวเชียวนะ

   เก็บภาพทุกซอกทุกมุมของบุโรพุทโธเรียบร้อย พวกเราก็เตรียมตัวเดินทางกลับที่พักกัน ก่อนกลับคนขับรถบอกว่าจะพาไปอีกที่นึงที่เป็นวัดพุทธที่สำคัญของที่นี่เหมือนกัน นั่นคือ วัด Mundut ครับ




   ถือเป็นที่แรกเลยที่เราได้ไหว้พระกันจริงๆ อยู่กันมา 6 วันจวนจะกลับอยู่ละเพิ่งจะมาจุดธูปขอพร 5555555555


   สถาปัตยกรรมของที่นี่สวยงามไม่แพ้ที่ไทยเลยฮะ



   มาอีกรอบกับเหล่ามอส :))


   ถ้าคุณสังเกตุตามโบราณสถานต่างๆ พวกรูปปั้นสัตว์เกือบทุกที่จะมีฟันลักษณะเหมือนคนครับ คือไม่มีฟันเขี้ยวแบบสัตว์ จะเรียบสวยงามเหมือนให้หมอฟันมาช่วยปั้นรูปด้วยยังไงยังงั้น เหตุผลที่เป็นอย่างนี้เพราะคนอินโดฯมีความเชื่อว่า รูปปั้นเหล่านี้เป็นตัวแทนของวิญญาณสัตว์และวิญญาณคนรวมกันนั่นเอง


   ระหว่างทางกลับที่พัก คนขับรถชี้ไปยังอนุสาวรีย์ต้นนี้ครับ เขาบอกว่ามันคือสัญลักษณ์ประจำเมือง Yogya ทุกๆเย็นจะมีวัยรุ่นมาถ่ายรูปกับมันประจำครับ

   หลังจากตะลอนกันทั้งวัน เรากลับไปชาร์จพลังที่โรงแรมอีกครั้งและตัดสินใจจะไปเดินเล่นในละแวกใกล้เคียงซักหน่อย ในระหว่างที่วางแผนกับเพื่อนอยู่นั้น พนักงานโรงแรมเดินมาบอกว่าต้องการรถไปส่งหรือเปล่า ฟรีนะ....จะปฏิเสธทำไมละครับ 55555555555


   เราตัดสินใจจะไปศูนย์กลางของเมืองนี้ที่ชื่อว่า Alun Alun ซึ่งคล้ายๆสนามหลวงบ้านเราเลยครับ มีร้านอาหารข้างทางโดยรอบ และอยู่ติดกับราชวังสุลต่านเลย แต่ระหว่างทางคนที่ขับรถมาส่งบอกกับเราว่ามันไม่น่าสนใจเท่าไหร่ เขาอาสาจะพาเราเที่ยวเมืองนี้เอง ! คือจะใจดีเกินไปแล้ววววว ปลื้มมากกก พวกเราเลยขอเขาลงเดินเก็บบรรยากาศซักเล็กน้อยก่อนไปลุยครับ


   ต้นไม้สองต้นนี้ตั้งอยู่ใจกลาง Alun Alun ชาวบ้านเรียกมันว่า Beringin และมีความเชื่อว่า ถ้าใครสามารถหลับตาแล้วอธิษฐานเดินผ่านระหว่างต้นไม้สองต้นนี้ได้ พรที่ขอจะเป็นจริง แน่นอนว่ามีจอมยุทธ์มาทดลองวิชากันอยู่เรื่อยๆและผมเก็บภาพในวันนั้นได้พอดี (จริงๆอยากลองบ้างแต่ฝนตกทำให้น้ำท่วม แต่ก็ยังมีคนทุ่มเทถอดรองเท้าเดินเลย !)

   หลังจากเดินวนอยู่ได้ประมาณ 10 นาที เราก็ไปหาคนขับรถเพื่อให้เขาพาพวกเราเที่ยว ซึ่งจุดหมายตอนนั้นยังไม่รู้ว่าที่ไหน ไกด์บอกกับเราว่าจะพาไปวัดๆนึงซึ่งวัดนี้นักท่องเที่ยวไม่ค่อยรู้จักเพราะมันอยู่บนภูเขา เขาเล่าให้ฟังว่าใน Yogya มีแค่ บุโรพุทโธ กับ Prambanan เท่านั้นที่อยู่ข้างล่างจึงทำให้เป็นที่รู้จักมากกว่า แต่วัดที่กำลังจะไปนี้มีจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกที่เรียกได้ว่าอลังการกว่าที่ไหนๆในเมืองนี้เลย !


   เรานั่งรถกันค่อนข้างนานพอสมควรประมาณเกือบชั่วโมงเห็นจะได้ รถก็พามาถึงที่วัดแห่งนี้....วัด Ijo

   วัด Ijo ในความหมายของคนท้องถิ่นหมายถึง วัดสีเขียวครับ (แปลตรงตัวเลย) ซึ่งพื้นที่บริเวณวัดนั้นไม่ใหญ่มาก แต่ที่ทำให้ผมรักที่นี่มากเป็นพิเศษเลย คือวิวที่สามารถมองเห็นได้ทั่วทั้งเมือง Yogya แห่งนี้



   เสียดายว่าวันที่ไปฝนมันตกก่อนหน้านั้นไม่นาน ทำให้ท้องฟ้ายังมีเมฆค่อนข้างเยอะ แต่ลองคิดภาพว่า ถ้าเจอวันที่ท้องฟ้าเปิด แล้วเห็นพระอาทิตย์ค่อยๆทอดตัวลงบนเมือง Yogya แห่งนี้พร้อมทั้งวิวภูเขาน้อยใหญ่ไกลสายตา มันจะฟินขนาดไหนกันละเธอออออออ

   ลืมเล่าไปว่าตอนที่ขึ้นไป เราไม่เจอต่างชาติอย่างที่เขาบอกจริงๆ แต่เราดันเจอคนไทยด้วยกันเองนี่แหละครับ อุทานแต่ละคำได้ชัดเจนเชียวละ 5555555555555555


   เรารู้สึกขอบคุณ 2 คนนี้มากที่สุดเลยครับ คนซ้ายเป็นคนขับรถส่วนอีกคนชื่อ Oden เป็นพนักงาน Marketing ที่โรงแรม (และเป็นคนที่ตอบ E-mail กับเราด้วย) เขาเป็นไกด์ที่พาเรามายังที่แห่งนี้ :))

   อ้ออ ค่าเข้าของวัดแห่งนี้ไม่แพงครับ เราไม่รู้ราคาว่าเท่าไหร่เพราะ Oden อาสาออกให้ทั้งหมด คือนอกจากจะนั่งรถฟรียังได้เที่ยวฟรี และยังได้ฟังเรื่องราวมากมายจากพวกเขาฟรีๆตลอดทางอีก การมาเที่ยว Yogya ครั้งนี้ถือว่ามันพิเศษที่สุดสำหรับพวกเราเลยหล่ะ นี่สินะที่เค้าบอก Yogya istimewa :))


   ฟินๆกับสถานที่สุดท้ายใน Yogya ไปเรียบร้อย พวกเราก็เดินทางกลับไปยังโรงแรมเพื่อไปเก็บข้าวของเตรียม Checkout ในวันรุ่งขึ้น แต่ก่อนกลับก็ได้แวะเข้าร้านสะดวกซื้อเพื่อซื้อสะเบียงไปปาร์ตี้ที่ห้องเล็กน้อย

   ร้าน Indomaret (ตอนแรกเรียก Indomarket 55555) มีอยู่ทุกที่ทุกซอกทุกมุมทุกเมืองครับ เปรียบได้กับ 7-11 บ้านเราเลย เรียกได้ว่าไม่ต้องกลัวอดตายเพราะอย่างน้อยเราสามารถเอาท้องมาฝากไว้ที่นี่ได้สบายๆ


   พวกเราตื่นเช้ารีบนั่งรถไปลงสนามบินในตัวเมือง โดยขากลับเราได้ฝากชีวิตไว้กับสายการบินหางแดงครับ


   ก่อนจะอำลาประเทศนี้ไปอย่างแท้จริง เราต้องลองของขึ้นชื่อของเค้าไว้ด้วยสิ...ประเทศไทยมีมาม่า ของเค้าก็ต้องนี่เลยครับ Pop Mie


   พาสปอร์ตเล่มน้อยๆได้ถูกบรรจุไว้ด้วยสัญลักษณ์ของการเดินทางเพิ่มอีกหนึ่งประเทศ ซักวันชั้นจะทำให้เธอมีตราประทับนับไม่ถ้วนเลย จำคำพูดเราไว้ !!! 

   ผมขอทิ้งท้ายไว้ด้วยภาพนี้ละกันครับ แดดสีทองแต่งเติมสีสันให้กับดินแดน Java แห่งนี้ ถือว่าเป็นการร่ำลาที่งดงามเลยทีเดียว :)


   จบไปอีกทริปสำหรับการตามล่าความฝันของผม เป็นการเดินทางที่เหนื่อยแต่ได้สิ่งตอบแทนที่หาอะไรมาทดแทนไม่ได้หลายๆอย่างเลย ประทับใจประเทศนี้สุดๆ ขอบคุณทุกคนที่ตามอ่านกันและหวังว่าฝันของผมอันนี้จะกลายเป็นฝันของคนอื่นๆต่อไปอีกหลายๆคนนะครับ :))

ความฝันมีไว้ให้ล่า เจอคนแก้ผ้าให้บอกว่าเล็ก #มะกรูดคนคม

8-14/04/2015

7 comments:

  1. รูปปั้นบ้านเขาทันสมัยนะครับ มีสะพายกระเป๋าสีส้มด้วย

    ReplyDelete
    Replies
    1. แต่เขาปั้นเก่งนะครับ ทั้งหล่อ ดูดี มีสไตล์ ที่สำคัญยังโสดด้วย

      Delete
    2. แบ้ง กิตติคุณApril 24, 2015 at 8:13 PM

      นั่นรูปปั้นหรือครับ ดูไม่ออกเลย นึกว่าลิงพื้นเมืองที่นั่นที่เขาให้ใส่เป้ดึงดูดนักท่องเที่ยว ช่างฝีมือชาวอินโดมากความสามารถจริงๆครับ

      Delete
  2. This comment has been removed by the author.

    ReplyDelete
  3. ดูดีมีสไตล์มากๆเลยครับ ชอบการถ่ายรูปของแอดมินมากๆ

    ถ้ามีโอกาส รบกวนรีวิวแถวยุโรปให้ผมดูบ้างนะครับ เช่น เยอรมัน

    ปล. แอดมินหล่อจังเลยครับ

    ReplyDelete
  4. ขอสอบถามคชจ.คร่าวๆต่อคนได้ไหมครับ ว่าประมาณเท่าไหร่ครับ ขอบคุณมากครับ

    ReplyDelete