Das Leben ist einer Reise.

Das Leben ist einer Reise.
สวัสดี เราชื่อ มะกรูด

เราชอบเที่ยว ชอบถ่ายรูป ชอบคุยกับคนแปลกหน้า และชอบคนหน้าแปลก ชอบหัวเราะใส่หน้าคน ชอบอะไรก็ตามที่มันทำให้ยิ้มได้ และที่สำคัญ....เราชอบหลงทางงงงงงง !!!!

ท่านผู้อ่านทั้งหลายยยย ในเมื่อท่านพลัดหลงเข้ามาในบล็อกของผมแล้วก็อย่าจากไปมือเปล่าโดยไม่อ่านบันทึกเรื่องราวการเดินทางมันส์ๆสิ ถือซะว่าหลงทางมาเหนื่อยๆนั่งพักอ่านอะไรเพลินๆไปก็ได้นะ ไม่แน่ว่าบันทึกเหล่านี้ของผมอาจจะเป็นชนวนจุดไฟให้กับเท้าของคุณได้ออกเดินทางอีกครั้งนึงก็ได้

"การหลงทางไม่ใช่ความผิดพลาด แต่เป็นการเริ่มต้นสู้การเดินทางบทใหม่" นะจ๊ะ เพราะฉะนั้นแล้ว นั่งลง ตั้งสติ สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพร้อมผจญภัยไปกับผมได้เลยย !

Friday, September 4, 2015

จน อยาก เที่ยว...ทุ่งดอกกระเจียว กับ การเดินทางคนเดียว ที่ไม่ได้เดินคนเดียว

มะกรูด: "เห้ยยยย พวกแกรรรร ไปเที่ยวกัน"

เพื่อนๆ: "เออ ไปๆ น่าสน ที่ไหน?"

มะกรูด: "ช่วงนี้ทุ่งดอกกระเจียวกำลังบานๆ"

เพื่อนๆ: "เหยดดดดดดด เอาดิๆ ไปยังไง?"

มะกรูด: "นั่งรถไฟไปมะ 2 ต่อ แต่ต้องไปนอนรอที่สถานีรถไฟด้วย หลังจากนั้นโบกรถเอา แล้วเด๋วจะแบกเต๊นท์ไปด้วย ไปกางนอนเองเลย ขากลับก็โบกรถ กลับรถไฟเหมือนเดิม เป็นไงๆ ดูสนุกมะ"

เพื่อนๆ: "......."

มะกรูด: คิดว่าไงๆ

เพื่อนๆ: "......"

มะกรูด: "......."

การเที่ยวคนเดียว จึงเริ่มต้นขึ้น.......(ฟ๊าคคคคคคคค !)

จริงๆแล้วผมเป็นคนที่หลงใหลการนั่งรถไฟมากเลยนะ และผมเคยนั่งรถไฟชั้น 3 จาก กทม ไปเชียงใหม่ รวม 18 ชั่วโมง นั่งนอนก็ทำมาแล้ว ยืนนอนก็ทำมาแล้ว หรือแม้แต่นอนแมร่มบนพื้นทางเดินก็ทำมาแล้ว ! เรื่องความลำบากของการนั่งรถไฟจึงไม่ใช่ปัญหาของผมซักนิด แต่ที่ผมชอบสุดๆคือการได้เก็บเรื่องราวระหว่างทางของการนั่งรถไฟที่ไม่มีพาหนะแบบไหนทดแทนได้เนี่ยแหละ

และอีกประเด็นนึงที่ค่อนข้างจะเป็นปัญหาอยู่ตอนนี้ (และน่าจะในอนาคตด้วย) คือสุขภาพทางการเงินไม่ค่อยจะดี! แต่ผมจะเที่ยวอะ ทำไมต้องเอาเงินมาเป็นข้ออ้างด้วย ถ้าผมไม่ได้เที่ยว ผมจะตายเร็วกว่าที่คิดอีกนะ......โอเคร งั้นเมิงไป ! รถไฟฟรีมีนิ ใช้ประโยชน์จากมันซะ ไหนดูสิที่ไหนที่มันไปได้บ้าง ช่วงนี้มีอะไรน่าเที่ยวบ้าง เห้ย! ทุ่งดอกกระเจียวไง หน้านี้กำลังบานสะพรั่งเชียวละ เอ้อ เรามีเต๊นท์ด้วยนิ หาที่ที่มันกางเต๊นท์ได้ด้วยเลยละกัน จะไม่จงไม่จองอะไรทั้งนั้น กุจะต้องประหยัดทุกอย่างที่ทำได้ !!! แม้ชั้นจะจน แต่ชั้นก็จะเที่ยวววววว

และนี่คือเรื่องราวการเดินทางครั้งแรกของ.........."จน อยาก เที่ยว"


ทุ่งดอกกระเจียวเราสามารถพบได้ที่ชัยภูมิ ซึ่งที่นี่จะมีอุทยานแห่งชาติ 2 แห่งที่ดังในเรื่องดอกกระเจียวครับ คือ อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม และ อุทยานแห่งชาติไทรทอง

จากการศึกษาและเปรียบเทียบค่าสัมประสิทธิสัมพัทธ์ถ่วงค่าน้ำหนักด้วยความแปรปรวนด้านภูมิอากาศประกอบกับตัวแปรด้านภูมิศาสตร์ (เห้ย พอไม๊?) ผมได้ตัดสินใจที่จะเดินทางไปอุทยานแห่งชาติไทรทองครับ เนื่องด้วยจำนวนคนที่น้อยกว่า และช่วงนี้เป็นช่วงที่ดอกกระเจียวจะบานที่นั่นมากกว่าครับ ยังไงก็แล้วแต่ไม่ว่าเราจะไปที่ไหนเราจะต้องไปเริ่มต้นที่ อ.เทพสถิต ก่อนอยู่ดี จาก กทม. เราต้องหาทางไปลงที่สถานี วะตะแบก (เทพสถิต) ให้ได้ครับ ในตอนนั้นผมพยายามเปรียบเทียบอยู่หลายเส้นทาง จนสุดท้ายได้ข้อสรุปมาว่า ผมต้องนั่งรถไฟรอบ 5 ทุ่มจากสถานีหลักสี่เพื่อไปลงสถานีแก่งคอย ประมาณตี 1 แล้วนอนรอที่สถานีจนตี 5 เพื่อต่อรถไฟฟรีรอบตี 5 ครึ่ง ไปลงที่สถานีวะตะแบก ถึงประมาณ 8 โมงครับ (หรือนี่เป็นสาเหตุที่ทำให้ไม่มีเพื่อนร่วมเดินทางกับผม? 5555555555)


รถไฟรอบ 5 ทุ่มมาลงที่ ชุมทางแก่งคอย เป็นรถด่วนนะครับ ผมนั่งจากสถานีหลักสี่มาในราคา 40 บาท ถึงที่นี่ตอน 01.07 บรรยากาศเงียบสงัด มีคนมาจับจองพื้นที่นอนในสถานีกันพอสมควร ตั๋วรถไฟฟรีจะเริ่มจำหน่ายตอนตี 5 ฮะ ช่วงระหว่างรอก็เป็นเวลาพักผ่อนเอาแรง และหาซื้อเสบียงตุนไว้ในตอนเช้า

บอกเลยว่าการนอนที่สถานีรถไฟที่เหมาะที่สุดคือนอนกับพื้นฮะ! ผมพิสูจน์มาแล้วทุกท่วงท่า นั่งก็แล้ว ยื่นก็แล้ว นอนบนเก้าอี้ก็แล้ว ลองนอนพิงพี่ยามก็แล้ว มันก็ไม่วายต้องหาท่าเปลี่ยนตลอดเวลา จนสุดท้าย นอนแมร่มที่พื้นนี่แหละฮะ !


เอาละ ได้ฤกษ์นั่งรถไฟเพื่อไปยังสถานีวะตะแบกซะที ผมรีบวิ่งขึ้นไปจองที่นั่งติดริมหน้าต่างด้านขวาทันทีฮะ เพราะคาดหวังว่าจะได้เห็นวิวสวยๆระหว่างทาง

และมันก็ไม่ทำให้ผมผิดหวังจริงๆฮะ...


ไอบ้าเอ้ยยยยยยยยยยยย! เมิงจะสวยเกินไปป่าวว้าาาาาา เห้ย! เช้าๆแบบนี้ขอให้ชั้นพักหายใจบ้างไม่ได้หรออ กลางคืนก็แทบไม่ได้นอนนะเว้ยยยย แต่นี่พี่พระอาทิตย์ทำร้ายจิตใจเกินไปล้าวววว พี่เล่นออกมาแบบนี้จะให้ผมนอนได้ยังไงละคร๊าบบบบบบบ

นั่นเป็นช่วงเวลาที่เปลี่ยนความคิดของผมจากที่มองว่า "เดินทางลำบากไปป่าวว้า" กลายเป็น "กุอยากเดินทางแบบนี้อีกกกก" ทันทีเลยหล่ะฮะ มันเป็นความบังเอิญที่เล่นเอาเสียวก้นกบตั้งแต่เริ่มทริปกันเลยทีเดียว!



เส้นทางแก่งคอย - วะตะแบก คือเส้นทางรถไฟท่องเที่ยวที่ดังมากๆเลยนะฮะ ถึงขนาดมีโปรแกรมนั่งรถไฟเที่ยวเฉพาะเลยทีเดียว เพราะว่าเส้นทางสายนี้จะวิ่งตัดผ่านเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ซึ่งสามารถเห็นได้ทั้งสองฝั่งรถไฟเลย

แต่ที่ผมอยากจะอวดสุดๆเลยนะ เนื่องจากผมนั่งรถไฟรอบ 05.30 ซึ่งเป็นช่วงที่พระอาทิตย์กำลังขึ้นพอดี ไอตอนแรกไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เลยฮะ พยายามต่อสู้กับตาตัวเองไม่ให้ปิดลงระหว่างทาง แต่พอได้มานั่งแล้วเห็นฉากตรงหน้า.....ทำเอาความง่วงที่สะสมมาหายไปในพริบตาเลยหล่ะแม่คู๊ณณณณณ !!!



โอ้ยยยยยยยย ภาพแบบนี้มันให้อารมณ์เหมือนกินไอติมแท่งเอสกิโมแล้วเปิดได้ไม้ไอติมฟรีติดกันรัวๆ 18 ไม้s  !! (ที่ต้องเติม s เพราะมีหลายแท่ง ผมรู้ ผมเรียนมา)

มันสวยมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก! แสงสีทองสาดทั่วผืนน้ำ พื้นหญ้าสีเขียวค่อยๆกระโดดโลดเต้นออกมาทีละหย่อมๆ ภูเขาลูกเล็กลูกน้อยค่อยๆผุดออกมาจากพื้นดิน .... โอ้ยยยยยย อยากจะนั่งไปแล้วกลับ ไปแล้วกลับ วนซัก 17 รอบs !!! (อย่าลืมเติม s นะครับเด็กๆ)





ผมขอยกให้นี่เป็นเส้นทางรถไฟที่สวยที่สุดในไทยเลยฮะ หยั่งกะนั่งรถไฟอยู่ต่างประเทศ ! ผมเอารูปให้เพื่อนดู เพื่อนนึกว่าไปยุโรปมา 5555555





เอาภาพบนรถไฟมาให้ชมแค่นี้ก่อนละกันฮะ ผมเชื่อว่าหลายๆคนคงอยากจะเดินทางเส้นนี้กันใจจะขาดละ ขอแนะนำเลยฮะ ถ้าอยากมาอีสานต้องมาทางรถไฟ ฟินสุดดดดด


8 โมงล้าวววววว มาถึงซะที ตามแผนที่วางไว้ผมต้องหารถประจำทางเพื่อนั่งไปลงหนองบัวระเหว แต่ปรากฎว่า รถประจำทางมันหมดรอบแล้ว !!!! มันมีแค่ 2 รอบต่อวันเท่านั้น และถ้าจะนั่งรถสามล้อเลยมันคงจะต้องเปลี่ยนสโลแกนจาก "จน อยาก เที่ยว" เป็น "ไฮโซ อยาก เที่ยว" ทันที

หลังจากไปปรึกษานายสถานี เขาก็แนะนำว่าให้ไปที่ อช. ป่าหินงามนี่แหละ ที่ อช. ไทรทอง มันเดินทางลำบาก เอาที่ป่าหินงามเป็นเส้นทางศึกษาก่อนละกัน เรามาคนเดียวอันตราย .... ด้วยความที่ผมเป็นคนหัวรั้น ผมจึงตัดสินใจไปที่ป่าหินงามครับ (จะรั้นให้มันดูเท่ทำไม!)


โอเคร ในเมื่อมันล่มตั้งแต่ต้นเรื่องขนาดนี้ เป็นไงเป็นกันวะ ว่าแล้วก็เริ่มต้นการโบกรถทันที ผมโชคดีตรงที่ระหว่างที่ลงจากรถไฟ ก็เจอป้าคนนึงมาลงที่วะตะแบกเหมือนกัน ป้าเค้าเอารถจอดไว้ที่สถานีผมจึงขอติดรถป้าไปด้วย และป้าก็ใจดีซะด้วยแหละพี่น้อง !

ระหว่างทางผมก็คุยกับป้าไปเพลินๆ ปรากฎว่า ป้าทำงานอยู่แถวแคราย มีบ้านอีกหลังอยู่แถวนั้น....เห้ยยยย อะไรจะบังเอิญขนาดนี้ เพลงคนบ้านเดียวกันลอยเข้ามาในหัวเลยฮะ เราเลยสนิทกันได้ภายในเวลาอันสั้น คุยกันยาวมาก ถึงขั้นป้าชวนมาพักที่บ้านเค้าที่ชัยภูมิเลย (ตอนนั้นแอบคิดว่าเราหล่อเกินไปหรือเปล่า)


ป้ามาส่งผมที่บ้านของเค้าก่อนทางขึ้นอุทยานครับ เนื่องจากรถป้าไม่สามารถขึ้นได้ แต่ป้าก็ได้ติดต่อเด็กละแวกนั้นให้ขับมอไซต์ไปส่งผมด้วย คือนอกจากจะใจดี ยังน่ารักอีกตะหาก นี่ถ้าสาวกว่านี้ผมจีบไปแล้วนะเนี่ยยย (หลอกเล่นนะครับป้า 555)

และแล้วผมก็ได้เด็กหนุ่มผู้โชคดีเป็นคนรถส่งผมจนถึงอุทยานฮะ น้องเค้าพูดน้อย คงจะอายที่ผมหล่อเป็นแน่ ตอนซ้อนมอไซต์ยังแอบได้ยินคำว่า ณเดช เบาๆ ไม่แน่ใจว่าหูแว่วหรือเปล่า ก่อนจากกันผมจึงให้ติ๊บน้องเป็นคำขอบคุณจำนวน 100 บาทถ้วน


ผมมาถึงอุทยานประมาณเกือบๆ 10 โมงฮะ จ่ายค่าเข้าอุทยานไป 40 บาท แล้วก็เดินหาที่กางเต๊นท์ทันที พี่เจ้าหน้าที่บอกว่าค่ากางเต๊นท์ 30 บาท จะมีเจ้าหน้าที่เดินมาเก็บเอง แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่มีคนมาเก็บครับ น่าจะเพราะฝนตก กลายเป็นนอนฟรีเลย (ถ้าพี่เจ้าหน้าที่มาอ่าน แจ้งกลับด้วยนะครับ ผมจะรีบลบข้อความนี้ทันที แฮร่!)


เพื่อไม่ให้เสียเวลา ผมเริ่มเดินเท้าขึ้นลุยทุ่งดอกกระเจียวทันที 

ทางแยกจะมี 2 ทางฮะ แต่ละที่จะอยู่แยกกัน ยกเว้นผาสุดแผ่นดินกับทุ่งดอกกระเจียวที่เชื่อมกันได้นะ ผมเลือกไปทางขวาก่อนฮะ อยากเห็นดอกกระเจียวเร็วๆแบ้วว






ระหว่างทางขึ้นจะมีลานหินกว้างให้มาถ่ายรูปเล่นอยู่ด้วยฮะ ใครพานางแบบ นายแบบมาก็คงจะได้อารมณ์อยู่ไม่ใช่น้อย (อารมณ์ถ่ายรูปนะ)


เอออออ ที่อุทยานมีบริการรถนำเที่ยวด้วยนะครับ คนขับจะพาไปส่งยังจุดต่างๆ ใครที่ไม่อยากเดินก็ซื้อตั๋วได้ที่ทางเข้าเลย


ถึงแว้วววววว เบื้องหน้า ณ ตอนนั้นเป็นทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ไพศาลอุทรมากเลยครับ ! ทางอุทยานได้ทำทางเดินให้นักท่องเที่ยวเดินเข้าไปในทุ่งด้วยนะ และก็ห้ามนักท่องเที่ยวเดินออกนอกเส้นทางเด็ดขาด ใครฝ่าฝืนมีโทษปรับ 500 บาท !



ช่วงต้นทางผมยังไม่เห็นดอกกระเจียวเยอะครับ ส่วนใหญ่จะอยู่ข้างในทุ่ง




พี่เจ้าหน้าที่บอกผมว่า ณ ตอนที่ผมไป ดอกกระเจียวขึ้นมาประมาณ 70% เท่านั้นเอง ปีนี้ขึ้นช้ากว่าปกติมาก เนื่องจากฝนไม่ค่อยตก

เดินมาซักพักก็เริ่มเห็นทุ่งดอกกระเจียวของจริงละ บานเต็มทุ่งเลย สวยมากกกกกก ลองไปชมใกล้ๆกันเลยฮะ





ผมเดินถ่ายรูปดอกกระเจียวจนแทบช้ำกันไปข้างเพราะมันสวยมากจริงๆ

เดินมาซักระยะนึงผมก็เดินมาสุดทางของทุ่ง มุ่งหน้าสู่ผาสุดแผ่นดินฮะ มีป้ายเขียนไว้ว่าอีก 350 เมตรเท่านั้น!


ผมประทับใจป่าที่นี่มากๆนะบอกตง เพราะผมแทบไม่เห็นขยะหล่นอยู่ตามพื้นเลย คือเป็นพื้นที่อนุรักษ์ของแท้เลยหล่ะ

ระหว่างทางเดินสวนกับคนค่อนข้างเยอะพอสมควรครับ เด็กเล็ก ผู้เฒ่าผู้แก่ มากันเต็มเลย มองแล้วรู้สึกเหงาขึ้นมาทันที อยากจะโดดลงผาข้างทางให้มันรู้แล้วรู้รอด (เห้ย ใจเย็นพี่!)


ถึงละครับบบ ผาสุดแผ่นดิน และมันสุดแผ่นดินสมชื่อจริงๆฮะ ผมสามารถมองเห็นทิวทัศน์ได้จนสุดขอบสายตาเลย นอกจากนี้ยังมีมุมอมตะสำหรับเอาไว้ถ่ายรูปเป็น profile picture สวยๆ บางคนก็ไปยืนเท่ๆบ้าง บางคนก็นั่งห้อยขาโชว์ความกล้าบ้าง แต่ที่ผมยังไม่เคยเห็นคือ คนกระโดดถ่ายรูปฮะ ไม่รู้ทำไม มันไม่เท่ตรงไหน (เมิงลองเองไม๊ล้าาา)


เห็นพี่คนนี้ยืนเท่ๆอยู่คนเดียว เลยขอจับมาเป็นแบบเลย ไม่ขอด้วย



ดูวิวมันสิครับบบบบ!! สวยมากกกกก นี่ถ้ามีหมอกอยู่ข้างล่างนะ โอ่ยยยยยยย ฟินนนนนน




มีทั้งดอกไม้ มีทั้งผา มีทั้งหินสวยๆ ครบครันมากฮะที่นี่


ไอเรามาคนเดียวอะเนอะ มันก็ต้องตั้งกล้องเอง เป็นนายแบบให้ตัวเอง ดูเป็นผู้ชายที่ดูแลตัวเองได้ใช่ปะ? โสด ขยัน อารมณ์ขัน ชอบงานบ้าน ทำอาหารเก่ง (ขายกันหน้าด้านๆนี่แหละครับ)



ป้ายที่ไม่ค่อยจะว่างให้ถ่ายเลย ! อยากให้พี่เจ้าหน้าที่ช่วยทำป้ายให้เยอะกว่านี้หน่อยครับ ทำเป็นดัมมี่ก็ได้ จะได้ถ่ายกันทั่วถึง (ผมล้อเล่นนะ 555)




ความเชื่อของคนที่ผ่านมาที่อุทยานนี้ครับ ก้อนหินที่เอามาตั้งเป็นชั้นอันนี่แทบจะเห็นได้ทุกที่  แต่การเอาท่อนไม้ใหญ่ๆมาค้ำหินได้ทรงพลังขนาดนี้เนี่ย ผมไม่เคยเห็นจริงๆนะ !! มันดูเป็นศิลปะมากกว่าความเชื่ออีกนะว้อยยย




ขาออกมาจากผาสุดแผ่นดิน ผมเลือกเดินกลับทางเดิมฮะ จะได้มาเล่นกะเจ้าดอกกระเจียวต่อ




เออ เรื่องราวสนุกๆมันเริ่มเกิดขึ้นเอาตอนเดินกลับจากผาสุดแผ่นดินนี่แหละฮะ เนื่องด้วยผมเป็นหนุ่มรูปงามจากกรุงเทพฯคนเดียว เดินถือกล้องไปมา จนกระทั่งมีกลุ่มสาว 3 คนเข้ามาพูดคุยด้วย (คงจะเห็นว่าเหงา 555555555) ผมเลยถือโอกาสแอบ candit พวกสาวเจ้าเอาไว้ โดยไม่ขออนุญาตอีกนั่นแหละ


ผมเดินกลับมาที่ทางแยกตอนต้นอีกครั้งเพื่อที่จะไปยังลานหินงามครับ ณ จุดนี้เริ่มเมื่อยขา แต่ในเมื่อเราเลือกเดินทางสายจน เราต้องจนให้สุดครับ ! อย่ายอมแพ้ง่ายๆสิวะไอมะกรูด !


ตรงทางขึ้นลานมีป้ายบอกด้วยครับว่าหินที่เรากำลังจะเจอมีลักษณะยังไงบ้าง

แต่ที่สะดุดตาที่สุดเห็นจะเป็นปุงลิงค์ครับ.....มันคืออัลไล๊ !!!?? เดี๋ยวต้องไปพิสูจน์!!


มาถึงหินแรกเลย มันคือ ฟีฟ่าเวิลด์คัพ นั่นเองฮะ (ต้องมองอีกด้านถึงจะเหมือน)


หินถ้ำมองจริงๆต้องเข้าไปดูใกล้ๆครับ มันจะมีรูเล็กๆอยู่ เอาไว้สำหรับถ้ำมอง


อันนี้จากลักษณะแล้วน่าจะเป็นหินจานเรดาร์นะฮะ


จนกระทั่งมาถึงหินก้อนนี้......เห้ยยยยยยยย เหมือนไปป่าววะแกรรร 555555555555

หลังจากผมกลับมาก็เลยเปิดเน็ตหาข้อมูลก็ทำให้เข้าใจว่า มันคือหินปุงลิงค์ครับ

"ปุงลิงค์" เป็นภาษาบาลีแปลว่าผู้ชาย .... โอเคร ผู้ชายจริงๆด้วย 555555555


หินแม่ไก่ยักษ์ฮะ.....พยายามหามุมให้มันเหมือนละนะ


ถ่ายรูปเพลินๆ ก็ไปป๊ะกับสามสาวอีกครั้งฮะ แต่ครั้งนี้จัดภาพให้พวงนางแบบโจ่งแจ้งเลย

ผมคิดนะว่าการเดินทางคนเดียว มันไม่ได้แปลว่าเราจะเดินทางแบบโดดเดี่ยวจริงๆซะหน่อย มิตรภาพใหม่ๆระหว่างทางนี่แหละคือเรื่องราวที่ยอดเยี่ยมที่สุดจริงๆนะ :))

เดินจนน่องแทบปูดละ ผมจึงรีบกลับไปที่เต๊นท์เพื่อไปหาอะไรกินเติมพลังซักหน่อย



ว่าด้วยเรื่องของ ฟลายชีท....

เรื่องราวหลังจากนี้ก็ดูจะไม่มีอะไรมากมายครับ กินข้าวเสร็จก็พักผ่อนอยู่ในเต๊นท์ ฟังเพลง อ่านหนังสือไปพลาง นอนรอวันใหม่ที่กำลังจะมาถึง....จนกระทั่ง......ฝนตกกก !!!!!!

จากที่เกริ่นมาก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่บอกว่าปีนี้ฝนไม่ค่อยตกเลย ประกอบกับที่ผมโทรไปสอบถามเจ้าหน้าที่ที่อุทยานทั้ง 2 แห่งก็ได้คำตอบมาว่า ฝนไม่ตกมาซักพักแล้ว.....แต่วันนี้ครับบบ! มรสุมเข้าลากยาว 4-5 ชั่วโมงงง !! ไอบ้าเอ้ยยยยยยย!! ประเด็นอยู่ตรงที่ ผมนอนเต๊นท์และไม่มีฟลายชีท!!!

วิชากางเต๊นท์ 101: ฟลายชีทคือผ้าที่เอามาคลุมตัวเต็นท์อีกทีไว้กันน้ำซึมครับ

ไอชั่วโมงแรกๆยังพอทนไหวอยู่ฮะ แต่พอตกระลอกสองเนี่ย แมร่มตกทะลุเต๊นท์เลยฮะ !! 555555555555 จำได้เลยว่าตอนนั้นถอดเสื้อ เอากางเกงในที่ใส่แล้ว และบอกเซอร์สำหรับนอน เอามาซับน้ำในเต้น ! คือน้ำท่วมเต๊นท์เลยละว้อยยยยย ต้อนรับการแบคแพคคนเดียวครั้งแรกของกุดีเกินไปล้าวววววว ผมถึงกับนั่งกอดเข่าน้ำตาซึมเลยฮะ นึกภาพผู้ชายร่างบางนั่งกอดเข่าอยู่ในเต๊นท์ที่จะปลิวแหล่ไม่ปลิวแหล่ พร้อมมีน้ำไหลนองเต็มที่นอน เชี่ยยยยยย โคตรน่าสงสารรรรร

ตอนนั้นผมโทษตัวเองอยู่อย่างเดียวที่ไม่ยอมซื้อฟลายชีทติดตัวมาด้วย อยากจะย้ายไปอยู่เต๊นท์ทหารมากๆ พอฝนเริ่มซา ผมก็เดินฝ่าฝนฝ่าความมืดออกไปยังที่ทำการอุทยานเพื่อคุยกับเจ้าหน้าที่เรื่องขอย้ายเต๊นท์ เจ้าหน้าที่ก็อนุญาตครับ ให้ย้ายฟรีๆเลย ตอนนั้นดีใจมาก จะไม่ต้องทรมานแล้ว....

ผมเดินไปดูเต๊นท์ทหารที่ว่าง....พอเปิดเต๊นท์ขึ้นมาเท่านั้นแหละ.....

"ฟรายยยยยย  SHIT !!!"

น้ำนองกว่าเต๊นท์กุอีกกกกก อิลโด๊กกกก !! ฟลายชีทไม่ได้ช่วยอะไรเลยยยยย แต่มันกลับทำให้ผมสบายใจขึ้นอีกหน่อยนะ เพราะก็คิดได้ว่า ไอคนที่มานอนเต๊นท์ทหารรอบๆก็คงจะเจอสถานการณ์ไม่ต่างจากผม...วู้วววววว ฟลายชีทบ้าบออะไร ไม่ง้อว้อยยยย เดินกลับเต๊นท์ตัวเองอย่างภาคภูมิใจ 55555555555

คืนนั้นผมนั่งซับน้ำออกนอกเต๊นท์ วนไปวนมา จนถึงประมาณ 4 ทุ่ม ฝนทำท่าเหมือนว่าจะเบาลง (แต่ยังตกทะลุเต๊นท์อยู่) ผมจึงตัดสินใจใช้ความเป็นลูกผู้ชาย นอนแมร่มเลยละกัน ไม่สนมันละ ! ร.ด. ก็ผ่านมาละ แค่นี้จิ๊บๆว้อยย! คร่อกกกก


แสงแดดยามเช้าออกมาทักทาย ทำเหมือนกับว่าเรื่องเมื่อคืนเป็นเรื่องเล่าตลกๆที่ไม่เคยเกิดขึ้น ผมมองดูรอบๆเต๊นท์ก็พบว่าพื้นที่รอบที่นอนเต็มไปด้วยทะเลสาบน้อยใหญ่สวยงาม โชคดีที่เขื่อนไม่แตกล้นมายังที่นอนเราซะก่อน ถือว่าผ่านไปด้วยดีละนะ เป็นประสบการณ์ที่เล่าเท่าไหร่ก็มันส์จริงๆฮะ 5555

เช้านี้ก็เตรียมตัวลงอุทยานกันละ แต่ปัญหาหลักของที่นี่เลยคือ......มันไม่มีรถประจำทางขึ้นมาาาา !!!

แต่ตลอด 2 วันที่ผ่านมา ผมได้ฝึกปรือหนังหน้าให้แข็งแกร่งมาแล้ว ว่าไปนั่น ผมก็เดินไปหาเต๊นท์ข้างๆแล้วขอพี่เค้าติดรถกลับไปด้วยทันที (ขอบคุณพี่มากๆครับ)



พี่เค้ามาส่งผมที่ทางแยก หลังจากนั้นก็โบกรถมอไซต์ต่อเพื่อไปยังสถานีรถไฟฮะ

สรุปว่าค่าเดินทางขึ้นลงอุทยาน เสียไปทั้งหมด 100 บาท (ค่าติ๊บน้องตอนขาขึ้น)

ระหว่างที่รอรถไฟที่สถานีวะตะแบก ก็เดินถ่ายรูปไปพลางฮะ ได้อารมณ์ความเก่าดี ชอบมากกกก





จริงๆรถไฟขากลับสามารถนั่งรถไฟฟรีรอบ 14.30 ไปลงที่แก่งคอยแล้วนั่งต่อไปยัง กทม. เหมือนขามาได้ครับ แต่พอดีผมมาถึงสถานีเร็วไปหน่อยแล้วบังเอิญว่ามีรถด่วนรอบ 12.30 วิ่งจากวะตะแบกไปลงสถานีหลักสี่พอดี ผมเลยจัดชั้น 3  มาในราคา 197 บาท ฮะ





แน่นอนว่าผมต้องเลือกที่นั่งริมหน้าต่างเพื่อจะได้เห็นวิวตอนผ่านเขื่อนป่าสักฯอีกครั้ง แต่เสียดายที่ไม่ได้ที่นั่งด้านซ้าย เอาฝั่งด้านขวาไปทดแทนละกัน

การมองวิวบนรถไฟมันมีเสน่ห์จริงๆนะครับ มองเท่าไหร่ไม่เคยเบื่อเลย :)


ขอเท่อีกซักรูปละกันวะ!


มาถึงบทสุดท้ายของการเดินทางครั้งนี้ละฮะ....

ทุ่งดอกกระเจียวถือเป็นสถานที่เที่ยวหน้าฝนที่ทุกคนควรมาครับ มันไม่ใช่ทริปชมดอกไม้เพียงอย่างเดียวอย่างที่ใครหลายๆคนคิด เรื่องราวข้างหน้ามันมีอะไรมากกว่านั้นเยอะฮะ ไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอน อ้ออ ! แนะนำว่าให้โทรไปเช็คกับเจ้าหน้าที่ก่อนจะไปด้วยว่าดอกกระเจียวขึ้นมาเยอะแค่ไหน จะได้ไปเห็นกองทัพดอกกระเจียวกันเต็มๆเนอะ 

การแบคแพคคนเดียวครั้งแรก บอกเลยว่ามันส์มากๆครับ เจอทั้งสุข เศร้า เหงา มันส์ แถมยังได้เห็นมิตรภาพจากเพื่อนร่วมทางอีกมากมายเลย และบางคนอาจทำให้การเดินทางคนเดียวของเรามันสำคัญก็ได้นะ :)

....การเดินทางคนเดียว ที่ไม่ได้เดินคนเดียว.....นี่แหละมันคือเสน่ห์ของการเดินทาง... :))

28 - 30/08/2015

1 comment: