Das Leben ist einer Reise.

Das Leben ist einer Reise.
สวัสดี เราชื่อ มะกรูด

เราชอบเที่ยว ชอบถ่ายรูป ชอบคุยกับคนแปลกหน้า และชอบคนหน้าแปลก ชอบหัวเราะใส่หน้าคน ชอบอะไรก็ตามที่มันทำให้ยิ้มได้ และที่สำคัญ....เราชอบหลงทางงงงงงง !!!!

ท่านผู้อ่านทั้งหลายยยย ในเมื่อท่านพลัดหลงเข้ามาในบล็อกของผมแล้วก็อย่าจากไปมือเปล่าโดยไม่อ่านบันทึกเรื่องราวการเดินทางมันส์ๆสิ ถือซะว่าหลงทางมาเหนื่อยๆนั่งพักอ่านอะไรเพลินๆไปก็ได้นะ ไม่แน่ว่าบันทึกเหล่านี้ของผมอาจจะเป็นชนวนจุดไฟให้กับเท้าของคุณได้ออกเดินทางอีกครั้งนึงก็ได้

"การหลงทางไม่ใช่ความผิดพลาด แต่เป็นการเริ่มต้นสู้การเดินทางบทใหม่" นะจ๊ะ เพราะฉะนั้นแล้ว นั่งลง ตั้งสติ สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพร้อมผจญภัยไปกับผมได้เลยย !

Sunday, April 19, 2015

A Dream Journey Bromo - Kawah Ijen - Yogyakarta [Part 1]

   ผมเคยมีความฝันนึงที่อยากจะทำให้สำเร็จมากๆ นั่นคือการได้ปีนภูเขาไฟซักลูก ที่ไหนก็ได้ในโลกนี้ เราอยากเห็นปล่องภูเขาไฟใหญ่ๆ เราอยากเห็นควันที่พุ่งออกมาอย่างบ้าคลั่ง เราอยากเห็นสิ่งที่เป็นต้นกำเนิดและเป็นจุดจบของโลกใบนี้ จนเมื่อผมได้เห็นรีวิวนึงที่พูดถึงการเดินทางไปภูเขาไฟในประเทศอินโดนิเซีย ผมถึงกับอ้าปากค้างถึงความสวยงามของมันและสัญญากับตัวเองว่าจะต้องไปล่ามันให้ได้ก่อนที่เราจะไม่มีโอกาส ผ่านมา 2 ปีกับการตั้งฝันนั้นและวันนี้ผมได้คว้ามันมาอยู่ใน check point ของผมเป็นที่เรียบร้อย ท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน ขอเชิญพบกับ การเดินทางที่เต็มไปด้วยมิตรภาพ เสียงหัวเราะ ความทุกข์ทรมาน ความสุข และแน่นอน...ความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ ได้ ณ บัดนี้ ตุง ตุง ตุง ตุ๊ง ! (เสียงกลอง)

   ทริปนี้พวกเราใช้เวลาทั้งหมด 7 วัน วางแผนเดินทางในวันที่ 8 เมษายน และกลับกรุงเทพในวันที่ 14 เมษายน โดยเดินทางไปลงที่ สุราบายา ซึ่งเราวางแผนจะไปเริ่มที่ โบรโม่ ก่อน แล้วค่อยต่อไปยัง คาวาอีเจี้ยน และนั่งรถไฟกลับมาที่ ย็อกยาการ์ตา และนั่งเครื่องบินกลับจากที่นั่นเลย พวกเราไม่ได้จองทัวร์ใดๆทั้งสิ้นและวางแผนแบบหยาบๆไว้เพราะหวังจะไปด้นสดเอาที่นู้นเลย อยากไปเดิน trekking อยากได้ประสบการณ์แบบเมามันส์ อารมณ์นักท่องเที่ยวหลงทาง อันไหนไปได้ไป ไม่ได้ก็ช่างมัน ขอที่หลักๆครบก็พอ


   ผมได้เลือกบริการจากหางเหลือง Tiger Air สำหรับเป็นคนพาเราไปลงที่สุราบายาครับ  เนื่องจากผมฟาดราคาจากมันมาได้ 3,618 บาท รวมภาษีทุกอย่างแล้ว แถมจะได้นั่งไปเปลี่ยนเครื่องที่สิงคโปร์อีก ถือซะว่าได้เที่ยวอีกประเทศด้วยเลยละกัน พวกเราออกจากสนามบินสุวรรณภูมิตอน 2 ทุ่มและถึงที่สิงคโปร์ตอน 5 ทุ่มครึ่งครับ ต้องรอเปลี่ยนเครื่องตอน 7 โมงเช้า ซึ่งค่อนข้างนานพอสมควร แต่ก็เอาเวลาไปพักผ่อนและชมบรรยากาศของสนามบิน Changi ไปพลางๆ 

   เอ้อ ลืมบอกไปว่าทริปนี้เริ่มต้นด้วยความมันส์ตื่นเต้นประดั่งเป็นสตั๊นแมนในเรื่อง fast & furious อย่างไงอย่างงั้น อาจเพราะความผิดพลาดของพวกผมเองที่ฟังเจ้าหน้าที่ Check-in ไม่ชัดจึงทำให้เกิดอาการงุนงงเล็กน้อย และเป็นครั้งแรกของพวกผมด้วยที่ได้มาขึ้นเครื่องที่สุวรรณภูมิ พวกเราเข้าไปใน ต.ม. แต่เหมือนจะได้ยินพนักงานบอกว่า ให้มา Check-in อีกรอบ เราจึงวิ่งออกไปข้างนอก แต่พอไปถึงกลับหาไม่เจอ ขณะนั้นก็มีเสียงประกาศลั่นสนามบินว่า "Last call for Tiger Air's passenger" เท่านั้นแหละครับ วิ่งอย่างไม่คิดชีวิต แสกนกระเป๋ากัน 2 รอบ แถมโดนให้เปิดกระเป๋าตรวจถึง 2 รอบ มีพนักงานของหางเหลืองมายืนรอถือป้ายประกาศหาอิสามตัวนี้ จนสุดท้าย พวกเราก็เป็นผู้โดยสาร 3 คนสุดท้ายไปโดยปริยาย 55555


  สนามบิน Changi นั้นดูไฮโซสมกับเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว มีหลายๆมุมที่น่าสนใจแต่ผมชอบภาพนี้มาก ไม่รู้ทำไม คงเพราะกำแพงมันกว้างงงงงงงงงง และยาวววววมากแต่มีเจ้า 2 ตัวนี้ที่ฝังอยู่ในกำแพงขาวจนดูเป็นพระเอกนางเอกไปเลย

   เอ้อ ลืมบอกไปว่าใครที่คิดจะมา Transit ยาวๆแบบนี้ กรุณาเตรียมเสบียงสำหรับมือเช้ามาด้วยนะครับ เนื่องจากพวกเราแลกเงิน รูเปีย ของอินโดมาอย่างเดียวและมีเงินบาทติดกระเป๋าเท่านั้น การหากินที่นี่เขาจะรับแค่ Singapore Dollar หรืออย่างให้อภัยได้คือ US dollar นะครับ ซึ่งจากที่บอกว่าพวกเราไม่ได้วางแผนอย่างละเอียดจึงทำให้เกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ หรือ ภาวะขาดแคลนเงินซื้อแฮมเบอร์เกอร์ นั่นเอง....แต่ !! สวรรค์ช่างเห็นใจพวกเราทั้ง 3 อย่างมาก ท่านจึงมอบหมายให้พี่หางเหลืองของเรานำ Gift voucher มาประทานให้ใช้ในสนามบินแห่งนี้เป็นมูลค่าทั้งสิ้น 20 $ สิงคโปร์ หรือราว 480 บาท ซึ่งไม่ต้องคิดใดๆทั้งสิ้นครับ duty free บ้าบออะไรไม่สนใจทั้งนั้น ขอให้ฉันมีชีวิตรอดไปถึงอินโดให้ได้ก็พอ พวกเราเดินหาร้านอาหารที่สามารถใช้ voucher นี้ได้และมาพบกับร้านนี้ครับ ดูดีมีอะไรเชียวละ




   พนักงานที่ร้าน O' Learys น่ารักมากครับ ดูแลใส่ใจ เห็นพวกเราก็แทบจะรู้เลยว่า ขาดแคลนอาหารอย่างหนัก อาหารที่นี่อร่อยใช้ได้เลย แต่ราคาก็ไม่ธรรมดานะ มี 20$ ก็จัดไปทั้งหมดนั้นแหละ....แถมเป็นเมนูที่ถูกที่สุดของร้านแล้วด้วยนะนั้นนนน

   หลังจากพวกเรารับประทานอาหารกันเสร็จก็ถึงเวลาออกเดินทางไปสนามบินสุราบายา พอเรามาถึงสนามบินประมาณเกือบๆ 10 โมงเช้า ก็ตามหาเจ้ารถ Damri Bus ก่อนเป็นอันดับแรกเพื่อจะนั่งไปลงสถานีขนส่ง ปุราบายา 



   นี่คือหน้าตาของตั๋วรถ กับ Damri Airport Bus ครับ ราคาตั๋วจะอยู่ที่ 25,000 Rp ครับ ราคาเท่ากับคนท้องถิ่น

   พอถึงขนส่งปุราบายาก็เริ่มตามหารถ Damri Bus เพื่อจะนั่งไปลง Probolinggo โดยรถ Damri ที่เราจะนั่งไปเป็นรถประจำทางลักษณะคล้ายรถทัวร์แต่ให้บรรยากาศแบบรถเมล์ไทยครับ ร้อน คนแน่น และอึดอัดมากกก แต่บนรถเราได้เจอกลุ่มชาวต่างชาติจากเยอรมัน 4 ชีวิตด้วยกัน พวกนางมา Backpack เหมือนพวกเราเลย พวกเราพูดคุยกันเรื่อยเปื่อยตามประสาชาวต่างชาติซึ่งทำให้อุ่นใจขึ้นมาหน่อยๆ

 
   โฉมหน้าของ 2 ใน 4 ของนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ครับ พวกเราเจอกันอยู่ตลอดทั้งทริปที่อยู่ Bromo ก็เรียกได้ว่าได้เพื่อนใหม่ตั้งแต่ต้นทางเลยหล่ะ

   สำหรับราคาตั๋ว Damri Bus ไปลง Probolinggo นี้แอบฟังคนท้องถิ่นมาว่าราคา 20,000 Rp ครับ สำหรับต่างชาติแล้วแต่บุญกรรมและอำนาจต่อรองที่เรามี แม้ว่าตอนแรกจะโดนเสนอราคาที่ 50,000 Rp ก็ตาม แต่พวกเราและชาวเยอรมันทั้ง 4 รวมกัน 7 พลัง สามารถกดราคามาได้ที่คนละ 25,000 Rp ถ้วน

   แต่พวกเราพบเหตุการณ์ที่ไม่น่าประทับใจอยู่อย่างนึงครับ คนเก็บตั๋วเดินมาหาพวกเราและเรียกเก็บเงินคนละ 25,000 Rp ตามที่ได้ต่อรอง หลังจากได้รับตั๋วเรียบร้อย ซักพักนางเดินกลับมาหาพวกเราแล้วบอกว่ายังจ่ายไม่ครบ พวกเรางงกันมากและยืนยันได้ว่า เราจ่ายไปทั้งหมด 75,000 Rp โดยมีชาวเยอรมันเป็นพยาน นางขอตั๋วเรากลับและพยายามพูดเหมือนกับว่ามันจำไม่ได้และจะให้เริ่มการจ่ายใหม่ทั้งหมด ด้วยเลือดเด็กเศรษฐศาสตร์ที่ไม่ยอมใครง่ายๆ (เรื่องเงิน) จึงได้เถียงกับคนเก็บตั๋วร่วม 10 นาที จนสุดท้ายมีชาวอินโดคนนึงทนไม่ไหว พร้อมกับพูดเป็นพยานให้เราอีกหนึ่งเสียง สีหน้าของคนบนรถต่อคนเก็บตั๋วตอนนั้นไม่พอใจอย่างมากจนนางรู้สึกพ่ายแพ้จึงได้เกิดระลึกชาติขึ้นมาว่า จำเหตุการณ์ตอนเราจ่ายตังได้แล้วนะ ขอโทษด้วย และยินดีต้อนรับสู่อินโดนิเซีย.....นี่เป็นเหตุผลนึงที่ว่า อย่ามาอินโดคนเดียวเด็ดขาดครับ เพราะอำนาจต่อรองที่นี่ถือว่าสำคัญอย่างยิ่ง !


 
   สิ่งที่ทำให้แปลกใจสำหรับประเทศนี้คือ บนรถโดยสารประจำทางจะมีพ่อค้าแม่ค้าเดินวนเวียนขึ้นมาบนรถตลอดทางครับ ไม่ว่าคนจะน้อยหรือแน่นจนหาที่เดินไม่ได้ พวกนางก็จะทะลุทะลวงหาช่องเล็ดลอดสอดแทรกเข้ามาในรถ และนำเสนอสินค้าประดั่งขายตรงก็ว่าได้ ซึ่งวิธีการของพวกนางก็คือ เดินมาวางของบนตัก ไม่ว่าจะรับหรือไม่ก็ตามจนครบทุกคนบนรถและจะเดินกลับไปยังหัวรถอีกรอบเพื่อเดินเก็บตังสำหรับคนที่จะซื้อหรือเก็บของคืน ประเภทของสินค้านั้นมีหลากหลายครับ จะเรียกว่ามาประเทศนี้ตัวเปล่าแล้วมาหาซื้อบนรถอย่างเดียวก็ไม่มีปัญหา ! ผมเจออาหาร ขนม หวี แปรงสีฟัน สมุดบันทึก ปากกา ไม้บรรทัด เสื้อผ้า ของที่ระลึก กระเป๋าน้อยใหญ่  อุปกรณ์อาบน้ำ และอื่นๆอีกมากมาย...แต่ที่ตื่นตาตื่นใจมากที่สุด คือคนนี้ครับ....


   ขณะรถแล่นไปซักพัก จู่ๆก็มีเสียงดนตรีดังขึ้นมา บุรุษผู้หนึ่งเดินขึ้นมาบนรถพร้อมกีต้าตัวใหญ่ 1 ตัว นางพูดเกริ่นเป็นภาษาอินโด จับใจความได้คร่าวๆ (เดา) ว่า นางกำลังอธิบายถึงชีวิตของตนและความหมายของเพลงที่กำลังจะร้อง...หลังจากให้โอวาทเสร็จ นางก็เริ่มบรรเลงบทเพลงในทันที นางจัดให้คนบนรถไปถึง 2 เพลงเต็มๆ และเมื่อจบบทเพลงสุดท้าย นางก็เริ่มเดินไปยังหัวรถและหยิบกระป๋องออกมาเดินยื่นให้คนหยอดตังให้...นี่คือวิถีชีวิตปกติของคนที่นี่ครับ ขอทานหรือนักดนตรีข้างถนนค่อนข้างขยันมากกว่าในประเทศไทย เพราะนางจะบุกตะลุยทุกหนแห่งที่มีผู้คนและหยิบยื่นถ้วยให้กันแบบ Best Service กันเลยทีเดียว

   เราใช้เวลาเดินทางสิริรวม 3 ชั่วโมงครึ่งจนถึง Probolinggo รถบัสมาจอดลงตรงหน้าบริษัททัวร์แห่งนึง (เหมือนเตี๊ยมกันมา) มีเจ้าของเดินตรงเข้ามาหาพวกเราและยื่นข้อเสนอต่างๆมากมาย พวกเราจึงตกลงว่า จะเหมารถตอนไป Kawah Ijen เพราะไม่มี Public bus ไปถึงและจะให้เขามารับเราตรงที่พักที่ Bromo พร้อมจองโรงแรม ที่ Ijen + อาหารเช้าให้เลย และต้องมาส่งเราที่สถานีรถไฟสุราบายาด้วย โดยตกลงราคากันที่คนละ 1,000,000 Rp รวม 3 คน 3,000,000 Rp เราถือว่าราคานี้ค่อนข้างรับได้และอาจถูกกว่าถ้าเราเดินทางกันเอง

   พวกเราแวะทานข้าวกันซักพักแล้วเริ่มออกเดินทางไปยังหมู่บ้าน Cemoro Lawang โดยรถ Bemo
  

   เจ้ารถ Bemo เท่าที่เห็นจะมีสีเหลืองกับสีเขียวครับ ที่เราต้องขึ้นก็คือรถสีเขียว โดยราคาจะอยู่ที่ 35,000 Rp ต่อคน หรืออาจจะมากกว่านั้นขึ้นกับจำนวนคนครับ แต่พวกเราไม่ต้องจ่ายเพราะรวมอยู่ในราคา 1 ล้าน Rp เรียบร้อย


   ลืมบอกไปว่าเพื่อนร่วมเดินทางอีก 2 คนคือเพื่อนสมัยอนุบาลของผม "เบส" และน้องรหัสจากมหาลัย "เดียร์" และนี่คือโฉมหลังของทั้ง 2 ครับ


   นั่งรถมาได้ 1 ชั่วโมงครึ่งพวกเราก็ถึงหมู่บ้าน Cemoro Lawang กันซักที บรรยากาศที่นี่ต่างกับข้างล่างอย่างมากครับ หมู่บ้านถูกล้อมรอบไว้ด้วยวิวทิวทัศน์ของทิวเขายาว ภูเขาที่นี่สวยงามมากๆๆๆๆๆ เพราะมันถูกปกคลุมด้วยต้นไม้และต้นหญ้าเขียวอ่อนเต็มไปหมด อากาศก็ต่างมากๆครับ เรามาถึงตอน 4 โมงเย็นแต่อากาศหนาวมากกกกทั้งๆที่ในตัวเมืองข้างล่างโคตรรรจะร้อน แทบไม่ต้องคิดว่ากลางคืนจะหนาวสะท้านฟ้าขนาดไหน (นี่ Summer นะว้อยยย)


   ชาวบ้านที่นี่จะมีรถจี๊บไว้ประดับเกือบทุกบ้านครับ เหตุผลง่ายๆเลยคือมีแค่รถจี๊บเท่านั้นที่สามารถขึ้นไปบนยอดเขา Penanjakan ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่สูงที่สุดได้ ใครที่มาเดินทางแบบ Backpack ก็สามารถสอบถามชาวบ้านแถวนี้เพื่อเหมารถจี๊บได้ไม่ยากครับ (แต่แนะนำว่าให้เดินนะ เด๋วจะบอกเหตุผลอีกที)



   พวกเราจองที่พักที่ Bromo Permai ครับ ที่พักค่อนข้างโอเครเลย บริการดี พนักงานพูดอังกฤษได้และราคาไม่แพงมาก เฉลี่ยคนละประมาณ 500-600 บาท ต่อคน (นอนได้ห้องละ 2 คนนะ) มีอินเตอร์เนตที่ส่วนกลางเท่านั้น อาหารเช้าก็ธรรมดาครับ แต่ที่เด็ดสุดเลยคงจะเป็นวิวด้านหน้าที่พักที่สามารถเห็น Bromo ได้แบบคมชัดระดับ HD แต่พวกเราเลือกที่จะเดินไปชมพระอาทิตย์ตกอีกที่คือแถว โรงแรม Cemara Indah ซึ่งมีวิวหน้าที่พักที่ดีที่สุดของหมู่บ้านนี้


   วิวพระอาทิตย์ตกที่นี่ดูแปลกตาสำหรับผมมากนะ เพราะไม่เคยมีฉากของภูเขาไฟใกล้ๆขนาดนี้แถมพื้นที่โดยรอบมันดูกว้างใหญ่มหาศาลมาก ของจริงกับในรูปภาพมันโคตรรรรรจะให้ความรู้สึกที่แตกต่างเลยละครับ หลังจากนั่งทาน Bakso ซึ่งเป็นบะหมี่ที่หาได้แทบทุกซอกถนนของประเทศนี้พร้อมดื่มด่ำบรรยากาศของวิวทิวทัศน์โดยรอบ พวกผมก็ตัดสินใจรีบเข้านอนตั้งแต่ 2 ทุ่ม เพราะเราต้องตื่นตั้งแต่ตี 1 เพื่อที่จะเริ่ม trekking ขึ้นไปยังจุดชมวิวบนยอดเขา Penanjakan

   ยอดเขา Penanjakan ถือเป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นที่ดีที่สุดเพราะมันสามารถมองเห็นพื้นที่โดยรอบของภูเขาไฟ Bromo, ภูเขาไฟ Batok (ลูกที่อยู่หน้าสุด) และ ภูเขาไฟ Semeru (ลูกที่อยู่หลังสุด) พร้อมทั้งสามารถเห็นวิวของหมู่บ้าน Cemoro Lawang ที่ตั้งสง่าอยู่บนแนวเทือกเขาได้ แต่นอกจากจุดชมวิวบนยอดสูงสุดแล้ว ยังมีจุดชมวิวอีกที่นึงที่อยู่บนเขา Penanjakan นั่นคือ จุดชมวิว Seruni viewpoint 


   นี่คือแผนที่เดินทางคร่าวๆที่ผมทำขึ้นมาให้ดูครับ โดยจากที่พัก Bromo Permai เดินประมาณ 5 นาทีก็ถึงทางแยก แล้วจากตรงนั้นจะเดินขึ้นไปเป็นระยะทาง 4 กม. เพื่อไปยัง Seruni viewpoint ใช้เวลาประมาณ 3 ชม. ครับ ถ้าจะเดินต่อไป Penanjakan viewpoint จะใช้เวลาอีกประมาณ 3 ชม. สำหรับเส้นทางที่เหลือผมจะขออธิบายภายหลังตามลำดับนะครับ




 
   พวกเราเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมงขึ้นมาถึง Seruni viewpoint ตอนประมาณ ตี 4 กว่าๆอากาศตอนกลางคืนโคตรรรจะหนาวเลยครับ คาดว่าจะเป็นเลขหลักหน่วยเพราะทุกคนถึงกับนิ้วแข็งกันเป็นว่าเล่น แต่ตอนเราเดินขึ้นเขามันจะรู้สึกอุ่นขึ้นเพราะความเหนื่อยล้าครับ และสิ่งที่น่าประทับใจที่สุดตั้งแต่มาที่นี่ หรือจะเรียกว่าเป็นเรื่องราวที่ดีที่สุดของทริปตลอด 7 วันนี้เลยก็ว่าได้ และนั่นคือการได้พบกับมิตรภาพใหม่ในต่างแดนนี้

   เราได้พบกับชาวต่างชาติคนนึง ซึ่งตอนนั้นนางอยู่คนเดียวในขณะที่เพื่อนคนอื่นของนางขึ้นไปข้างบนยอดสูงสุดกัน พวกเราตัดสินใจอยู่ดูวิวที่จุดนี้และได้เริ่มต้นทักทายกันตามประสาคนเดินทาง ซึ่งอาจเป็นโชคชะตาหรืออะไรซักอย่างพวกผมพบกับเธอคนนี้ตั้งแต่ตอนอยู่ที่สนามบินในสิงคโปร์ แล้วทั้งเธอและพวกผมก็จำหน้ากันได้แม่น พวกเราจึงสนิทกันอย่างรวดเร็วมาก นางชื่อ Abeeha มาจาก แคนาดา แต่ว่ามาแลกเปลี่ยนที่สิงคโปร์ นางเป็นคน Friendly มากๆ พวกเรายังแลกเปลี่ยนประสบการณ์การท่องเที่ยวซึ่งกันและกัน แถมยังช่วยกันหาฟืน เข้าไปหักกิ่งไม้มาก่อไฟ วิ่งวุ่นหากระดาษและเชื้อเพลิง ตอนนั้นมีฝรั่งอีกหลายคนมาช่วยพวกเราซึ่งค่อนข้างวุ่นวายเลยไม่น้อยแต่โคตรรรจะสนุกเลยฮะ มันคือเสน่ห์อย่างนึงของ Backpacker เลยนะ ถือเป็นอีกหนึ่งความทรงจำที่สวยงามไม่แพ้ Bromo เลยหล่ะ :))

   เออ ลืมบอกความฝันของผมอีกอย่างนึง ผมเคยเห็นภาพ Bromo ในอินเตอร์เนตและรู้สึกชอบภาพนั้นมากเป็นพิเศษ ผมหวังที่จะได้ล่าสิ่งๆนี้มานานมากๆและอยากจะให้มันเป็นภาพบันทึกที่สวยงามที่สุดภาพนึงในทริปอินโดนี้...นั่นก็คือ ทางช้างเผือกบนยอด Bromo ภาพนี้ครับ


   ผมเคยพยายามล่าช้างเผือกตัวนี้ในประเทศไทยแต่ด้วยฟ้าฝนไม่ค่อยจะเป็นใจเท่าไหร่เลยทำให้พลาดมันทุกครั้ง แต่ครั้งนี้ผมสามารถจับมันมาได้ตัวเบอเริ่ม ! ผมและเพื่อนๆแทบจะกรีดร้องกันอย่างบ้าคลั่งถึงความสวยงามของมัน ผมแทบไม่เชื่อสายตา "นี่กุล่าช้างเผือกตัวแรกได้ที่วิว Bromo !!!!!" ถึงแม้ว่าคืนนั้นพระจันทร์ค่อนข้างจะส่องแสงจ้าไปหน่อยภาพเลยอาจจะไม่ค่อยชัดเท่าที่ควร แต่ผมเชื่อว่า ภาพนี้คงทำให้หลายๆคนอยากลองมาสัมผัสบรรยากาศที่ภูเขาไฟแห่งนี้อย่างแน่นอน


   แสงของพระอาทิย์ค่อยๆขึ้นทอดตามแนวสันเขาที่เรียงราย สาดส่องให้เห็นร่องรอยของ Batok ทีละเล็กทีละน้อย ช่วงเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงแต่กลับทำให้พวกเราต้องมนต์สะกดของมันได้อย่างง่ายดาย


   พระอาทิตย์ขึ้นมาแล้วววววว สวยงามมากกกก



   พระอาทิตย์ที่นี่จะขึ้นเร็วและตกเร็วมากครับ ตี 5 ครึ่งก็สว่างทั่วฟ้าแล้ว


   ถือเป็นหนึ่งในหมู่บ้านที่ผมอิจฉาที่สุดในโลกเลยนะ ตั้งอยู่บนสันเขา แถมได้เห็นวิวของภูเขาไฟ ถ้าโชคดีจะได้เห็นทะเลหมอกด้านล่างสันเขา ซึ่งวันที่ผมไปไม่มีโอกาสได้เก็บภาพแบบนั้นมา เสียดายโคตรร


   แต่พวกเราก็โชคดีไม่น้อยฮะที่ได้เห็นการปะทุเล็กๆของภูเขาไฟ Semeru หนึ่งใน Active volcanoes ในประเทศอินโดนิเซียที่มีชื่อเสียงอย่างมาก


   เป็นทริปแรกของผมกับน้องรหัสเลยนะที่ได้ไปเที่ยวกัน แถมยังเป็นต่างแดนซะด้วย ก็ถือว่าพามาเปิดโลกละกันเนอะ 5555


   Candid เพื่อนใหม่กันหน่อย ที่ Seruni view point นี้ มีจุดที่เป็นเหวเล็กๆที่เราสามารถลงไปถ่ายรูปได้ หรือใครกล้าท้าทายก็สามารถปีนบนหน้าผ้าขึ้นไปอีกหน่อยได้เช่นกัน

   เราเริ่มเดินทางลงจากเขา Penanjakan ตอน 6 โมงเช้าเพื่อที่จะเดินต่อไปยัง Bromo ซึ่งเรื่องราวระหว่างทางก็มันส์ไม่ใช่น้อยเลยละฮะ


   เราเจอชาวบ้านนางนี้เดินขึ้นเขามาคนเดียว แล้วจู่ๆนางก็ทำท่าเหมือนจะคุยกับเราอะไรซักอย่าง นางพยายามใช้ภาษามืออย่างบ้าคลั่ง ซึ่งพูดตรงๆว่าเดาทางไม่ออกซักท่า ! ทันใดนั้นนางก็ชี้มาที่กล้องผมแล้วพยายามเหมือนจะบอกว่า ถ่ายรูปด้วยสิๆ ไอเราก็ถึงบางอ้อ ที่แท้อยากถ่ายรูปด้วยนิเอง ชอบอยู่แล้วชาวบ้านนิสัยน่ารักแบบนี้ ผมเลยเรียกให้เพื่อนทั้ง 2 มาถ่ายรูปกะนางโดยด่วน ขณะกำลังถ่ายรูปนางก็หยิบของในกระเป๋าออกมา เหมือนจะโชว์อะไรบางอย่าง พอนางหยิบออกมาผมถึงกับสะดุ้ง เพราะมันคือมีดเล่มโตเลยครับ คาดว่านางคงเอามาตัดไม้หาของป่าเก็บไปที่บ้าน เราก็ไม่ได้เอ๊ะใจอะไร พอเราถ่ายรูปเสร็จ นางก็ทำท่าแบมือ ผมก็คิดว่าอยากดูรูปเลยทำท่าชี้ไปที่กล้องประมาณว่าอยากดูรูปหรอ นางก็ส่ายหัวแล้วก็หยิบของอีกอย่างนึงขึ้นมา สิ่งนั้นก็คือ....เงินครับ....จากสมการข้างต้นทำให้ผมคำนวณผลลัพธ์ออกมาได้ไม่ยาก....นางต้องการเงินจากพวกเรานั่นเอง ! พวกผมปฏิเสธนางทันที แล้วพูดภาษามือกับนางว่า "พวกผมไม่ได้ขอถ่ายรูปกะคุณนะว้อย คุณมาขอถ่ายรูปกะพวกผมเอง อยู่ๆจะมาขอตังค์ค่าถ่ายรูปกะตัวเองได้ไง คุณไม่ใช่ดารานะครับ รีดไถตังแบบนี้มันน่าเกลียดเกินไปแล้ว ผมไม่จ่ายหรอก" (อย่าถามว่าทำภาษามือยังไง) พวกผมรีบเดินออกห่างจากนางทันที เพราะนึกขึ้นได้ว่าในมือนางมีมีดเล่มโตอยู่ 5555555



   ชาวบ้านที่นี่จะขึ้นไปเก็บของป่ากันตั้งแต่เช้ามืดเลยฮะ ตอนช่วงตี 2 ตี 3 ผมก็เริ่มเห็นบางคนขี่มอเตอร์ไซค์ขึ้นเขากันแล้ว บางคนก็เดินขึ้นเขาแบบพวกผมโดยมีอุปกรณ์คู่กายเป็นหาบแบบนี้ครับ


   บ้านเรือนระแวกนั้นมีรูปทรงที่ธรรมดาทั่วไปมากครับ แต่เพราะสิ่งแวดล้อมโดยรอบทำให้มันดูมีเสน่ห์ไม่ใช่น้อยเลยหละ

   พวกเราลงมาถึงหมู่บ้านประมาณ 7 โมงครึ่งและได้แวะทานข้าวเช้าที่ Bromo Permai ก่อนครับ พอ 8 โมงก็เริ่มเดินจากหมู่บ้านไปยัง Mt. Bromo หลายๆคนอาจเคยอ่านรีวิวว่าเส้นทางในการเดินไปยัง Mt. Bromo นั้นสามารถใช้ทางม้า (Horse way) ตรงหมู่บ้าน Cemara Indah ได้เพราะทางนี้จะไม่เสียค่าเข้า Bromo เลย (ดูในแผนที่ที่ผมเขียนประกอบนะครับ) แต่จริงๆแล้วพอผมเลือกที่จะเดินทางม้าตามรีวิว จู่ๆก็มีชาวบ้านวิ่งมาบอกว่าทางนี้ใช้ไม่ได้ ถ้าคุณลงไปจะมีเจ้าหน้าที่เข้ามาเรียกเก็บค่าเข้าจากคุณอยู่ดี และเสียเป็น 2 เท่าจากปกติด้วย ณ ตอนนั้นผมไม่รู้ว่าเขากำลังขู่หรือว่าเป็นเรื่องจริง แต่พวกเราคิดว่าไม่อยากจะเสี่ยงเลยตัดสินใจเดินตามทางปกติครับ โดยเส้นทางที่เราจะเดินคือเส้นที่ผ่านที่พัก Bromo Permai นั่นเอง



   ระยะทางจากหมู่บ้านลงไปถึง Mt. Bromo ประมาณ 2 กิโลครับ เราใช้เวลาประมาณ 45 นาทีจนถึงตีนเขา วิวข้างล่างอลังการมากๆครับ พื้นที่โดยรอบเป็นฝุ่นทรายทั้งหมด ใครที่แพ้ฝุ่นก็พกผ้าปิดปากกันมาด้วยนะ แต่วันที่เราไปลมไม่ค่อยแรงฝุ่นเลยไม่เยอะมาก



   ตามพื้นทรายที่นี่จะมีต้นหญ้าแซมขึ้นมาเป็นจุดๆฮะ ให้อารมณ์แบบทุ่งหญ้าตามหนังตะวันตกยุคเก่ามากๆ ซึ่งถ้าเดินอ้อมไปทางด้านซ้ายอีกฝั่งของ Bromo เราจะพบกับทุ่งหญ้า Savana ที่เป็นจุดที่น่าสนใจสำหรับนักท่องเที่ยวเหมือนกัน




   นอกจากรถจีบแล้ว พาหนะที่มียั๊วเยี๊ยไม่แพ้กันเลยคือม้ากับมอเตอร์ไซค์ครับ ไว้สำหรับเป็นทางเลือกของคนที่เดินไม่ไหวละกัน และเราไม่ต้องขวนขวายหาเลยครับเพราะพวกนี้จะพุ่งตรงมาที่เราอย่างไม่ลดละ กลุ่มนี้ไปกลุ่มนั้นมา มีให้เลือกสรรค์ตลอดทุกๆ 10 เมตร บางคนก็หน้าเดิมๆวนเวียนรอบๆตัวเราอยู่อย่างงั้น ใครที่ไม่อยากจ้างก็ไม่ต้องสนใจครับ ดื้อด้านปฏิเสธลูกเดียวแม้จะค่อนข้างตื้อหน่อยๆ ส่วนราคาเท่าที่ฟังเค้าเสนอมาขึ้นอยู่กับทนทานของเราครับ ในตอนแรกได้ยินระดับ 100,000 Rp ก็มี แต่ผ่านไปซักพักระดับราคาจะเริ่มลดลงไปสู่ระดับ 20,000 Rp อย่างรวดเร็วฮะ (ในเรื่องของราคาจะแสดงให้เห็นเรทของชาวต่างชาติกับคนท้องถิ่นในบทหลังๆนะครับ)


   เราเดินกันมาทางด้านซ้ายของ Mt. Bromo ซึ่งเดินตามทางที่หญ้าขึ้นมาได้ครับ โดยเส้นที่ผมเดินมานั้นไม่มีจุดเรียกเก็บเงินค่าเข้า ผมกับเพื่อนๆก็ค่อนข้างงงว่ามันเรียกเก็บกันตอนไหน จนสุดท้ายถึงได้รู้ว่า พวกที่เหมารถ Jeep หรือนั่งม้าหรือมอไซค์ไป พวกนั้นจะพาไปลงอีกจุดนึงซึ่งก็คือจุดเก็บค่าเข้านั่นแหละครับ ซึ่งค่าเข้าก็ไม่ธรรมดาเลย ขึ้นหลักแสนรูเปียเลยทีเดียว ใครที่ไม่อยากเสียค่าเข้าก็สามารถเลือกเดินเลี่ยงเส้นทางได้ครับ ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่าระบบการเก็บเงินมาจากหน่วยงานไหนหรือเป็นคนในชุมชนตั้งกันขึ้นมาเองเพราะไม่มีระเบียบหรือกฎใดๆที่แจ้งว่านักท่องเที่ยวต้องจ่ายเงินตรงนี้


   ระหว่างทางเราก็ได้เห็นวัดฮินดูโบราณที่ตั้งอยู่หน้า Mt. Batok ซึ่งชาวบ้านจะมีพิธีกรรมทางศาสนาที่นี่ 2 ครั้งต่อปี



   พอมาถึงช่วงกลางเขาเราจะเริ่มเห็นพ่อค้าแม่ค้าตั้งร้านขายน้ำขายของกินกันพอสมควรฮะ นอกจากนี้ยังมีพ่อค้านำพวงดอกไม้และของสำหรับไหว้บูชา เพราะชาวบ้านเชื่อว่า Bromo คือตัวแทนของเทพเจ้า (Bromo เป็นภาษาชวา หมายถึงพระพรหม ครับ) ผมยังได้ยินมาว่าสมัยก่อนมีการบูชา Bromo ด้วยการโยนคนเป็นๆลงบนปากปล่องด้วยนะ แต่พิธีกรรมก็เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยจนปัจจุบันกลายเป็นดอกไม้แล้วหล่ะ



   เดินกันมาถึงตีนเขา Bromo เรียบร้อยแต่ยังมีภารกิจพิชิตบันไดอีก 250 ขั้นเพื่อขึ้นไปยังปากปล่องให้ได้ ณ จุดนี้เราจึงพักเท้าถ่ายรูปกันเบาๆ


   เมื่อขึ้นมาถึงยอดเขา เราหันกลับไปมองวิวข้างหลังก่อนที่จะไปพิสูจน์ความยิ่งใหญ่ของปากปล่อง Bromo และเราก็ได้พบกับภาพนี้ครับ


   เรียกได้ว่าทำเอาอาการเหนื่อยแทบหายเป็นปลิดทิ้งเลยยยย โคตรรรรจะฟิน ณ จุดๆนี้ บรรยายออกมาเป็นความรู้สึกไม่ถูก นอกจากพูดดังๆวนไปวนมาว่า "สวยยยยยยสาดดดดดดดด"

   สังเกตุที่พื้นด้านล่างจะเห็นทางน้ำที่แห้ง ทางด้านขวาไปจนถึงเส้นรถวิ่งจนสุดแนวเขาคือทางที่เราเดินมากันครับ.... 2 กิโลเหนาะๆ

   เอาหล่ะ ไม่พูดพร่ำทำเพลงละ ขอเชิญพบกับภาพที่ถูกขนานนามว่าเป็นลมหายใจของเทพเจ้าได้เลยยยยย



   ขอบอกเลยว่า ของจริงมันใหญ่มากกกกกกกกกกกกกก !!! ที่เคยเห็นในภาพมันดูเล็กจนเปรียบเทียบไม่ได้ พอมาเห็นด้วยตาตัวเองก็ไม่สามารถอธิบายได้ว่ามันใหญ่แค่ไหน และเราจะเห็นควันพุ่งลอยออกมาตลอดเวลา สมฉายาของมันเลยครับ


   ทางเดินรอบปากปล่องค่อนข้างน่ากลัวฮะ เพราะมีแค่ราวกั้นยาวตามขอบปล่องแค่ฝั่งเดียว ถ้าเดินไปอีกหน่อยก็จะไม่มีราวกั้นให้เกาะ ใครท้าทายเทพเจ้าก็ลองเดินดูครับ วันที่ผมไปก็มีนักท่องเที่ยวชาวอินโดลื่นจนเกือบตกจนพวกผมและคนอื่นๆบนนั้นกรีดร้องดังมาก 55555


   อิ่มเอมกับ Mt. Bromo กันเรียบร้อยก็ถึงเวลาที่เราจะเตรียมตัวสำหรับจุดมุ่งหมายต่อไป ระหว่างทางเดินกลับไปยังที่พักก็เจอม้าตัวนี้ยืนรอผู้โดยสารมานั่งมัน เลยขออนุญาตเจ้าของถ่ายเก็บไว้เป็นที่ระทึก



   รถที่เราเหมาไว้มารอรับเรียบร้อย เก็บของมุ่งหน้าไปสู่สถานีต่อไปในดินแดนภูเขาไฟอีกหนึ่งที่...Kawah Ijen 

ติดตามกันต่อใน Part 2 กันเลยยยยย :))


7 comments:

  1. เพื่อนเจ้าของบล๊อคน่ารักจังครับ ไม่ทราบมีแฟนหรือยัง

    ReplyDelete
    Replies
    1. เพื่อนบอกขอปิดเป็นความลับ แต่เจ้าของบล็อคยังไม่มีครับ

      Delete
  2. แบ้ง กิตติคุณApril 20, 2015 at 7:13 PM

    ผมเองก็ชอบภูเขาไฟมากเลยครับ เห็นรีวิวนี้ยิ่งอยาก........ กินอีกโอวัลตินภูเขาไฟ

    ReplyDelete
    Replies
    1. ดีใจครับที่ผมเป็นส่วนหนึ่งในการตามหาฝันในการกินโอวัลตินภูเขาไฟ ขอให้มีโอกาสนั้นเร็วๆนะครับ #แฮร่

      Delete
  3. ภาพสวยมากค่ะ

    ReplyDelete
  4. เริดมากคะ ปูเสื่อๆ รอตอนต่อไป

    ReplyDelete
  5. ไปปีที่แล้วทางม้ายังไม่เก็บตังค์ ใครเพิ่งไปรบกวนคอนเฟิร์มหน่อยครับ

    ReplyDelete